GRAPHIC DESINGER

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

10 วิธีง่ายๆ ใช้ระงับความโกรธ

1. หลีกเลี่ยง "การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้ามวิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่าง หาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน - กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่าไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้

2. ระบาย นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง

3. กิน มี ใครจะปฏิเสธบ้างว่าการกินคือ วิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน

4. ดื่ม โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน

5. หัวเราะ มีหลาย อย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)

6. ร้องไห้ การ ร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไงหรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ

7. ร้องเพลง เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงาน..พ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป. 1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง

8. พักผ่อน หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน

9. นอนหลับ เคย สังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือ สัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน

10. ให้อภัย ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊กพระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือ การปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัยเลยละ

เกล็ดความฮู้ที่บางคนมองข้าม

ความฮู้ คู่กับปัญญาครับ‏


1. ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยใช้ไข่ขาวมาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ
จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็น
หรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก

2. ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆของหมากฝรั่งไปมา
ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมดแล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ


3. ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน
เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น

4. ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3ชั่วโมง
แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ
และเหนียวทนนาน


5. มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ
เฉลย : ไม่จริง
แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว
มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป


6. พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด
เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้


7. เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้
เฉลย : จริง
ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์
จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น


8. เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ
เฉลย : จริง
การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกรียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย
แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก
นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด
จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น


9. นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญจะช่วยยับยั้ง
การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา


10. ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก
น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ
เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้
from:baanmaha.com

วิธีแก้อาการเมาค้างแบบง่ายๆ

เนื่องจากกระผมมี ความเป็นห่วงพี่น้องบ้านมหาทุกคน ส่วนมากที่นัดพบประกันทุกครั้งจากการสังเกตุ จะพบได้ว่าพี่น้องเราจะจะมีการสังสรรค์กันโดยมีเอลกอล์ฮอร์มาเกี่ยวข้องตลอด จึงได้นำวิธีการแก้อาการเมาค้างมาฝาก เพื่อเป็นประโยชย์ในการนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องต่อไปครับ บทความนี้ไม่เจตนาที่จะส่งเสริมให้พี่น้องเราดื่มเหล้านะครับ
วิธีการดูแลบรรเทาอาการเมาค้างเบื้องต้น

• เช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำเย็นและประคบด้วยผ้าเย็นบริเวณใบหน้าและศีรษะ

• ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ทั้งวัน เพื่อให้ความเป็นพิษหมดไปโดยเร็ว

• ดื่มน้ำหวาน เช่น น้ำส้ม (น้ำอัดลม) เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำหวานต่างๆ เพื่อชดเชยเกลือแร่ที่สูญเสียไป และช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น

• ดื่มน้ำผลไม้คั้นที่มีรสเปรี้ยวจัด แก้ไขการอาเจียน เช่น น้ำส้ม หรือน้ำมะนาว

• ดื่มน้ำผลไม้สดๆ หรือผลไม้สดแช่เย็นฉ่ำ ช่วยล้างพาและแก้อาการ เพื่อชดเชยวิตามินซี เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด ชดเชยพลังงานที่ร่างกายต้องการ อันจะทำให้ร่างกายสดชื่น (ควรใช้เครื่องคั้นน้ำผลไม้แยกกากยกเว้นบางชนิดที่ควรใช้เครื่องปั่น)

• สูดกลิ่นหอม โดยใช้น้ำมันหอมระเหย

• ดื่มนมอุ่นๆ ทีเดียวให้หมดแก้ว แต่ไม่ควรดื่มมากอาจจะอาเจียนหนักขึ้นได้

• ค่อยจิบเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำชา ชามะนาว ส่วนกาแฟอย่าดื่ม ขณะเมาค้าง เนื่องมาจากกาแฟมีคาเฟอีน เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้ร่างกายขาดน้ำมากขึ้น

• อย่าปล่อยให้ท้องว่าง พยายามรับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ก๋วยเตี๋ยว ไม่ควรกินอาหารที่มีไขมัน หรือมีรสจัดมากเกินไป เพราะจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการอาเจียนมากขึ้น

• ไม่ควรนอนจมอยู่บนเตียงทั้งวัน ควรจะลุกขึ้นมา สูดอากาศบริสุทธิ์ เพราะออกซิเจนจะช่วยให้เกิดกระบวนการเมตะบอลิซึมมากขึ้น ทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดลดลงจนรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า มากขึ้น

• ถ้าไม่ดีขึ้น แน่นอนต้องพึ่งพายาหอมผสมน้ำอุ่น ยาดม หรือยาธาตุ และยาสมุนไพรขมิ้นชัน ซึ่งจะทำให้ระบบย่อยอาหารมีสภาพเป้นกลาง หรือเป็นปกติมีความสมดุลขึ้น

• ควรนอนหลับ นอนพักผ่อนให้ได้อีกสักระยะหนึ่ง ก่อนไปทำงานประเภทขับรถหรือทำงานเครื่องจักรกล

• หากปวดศีรษะมาก รับประทานยาบรรเทาอาการ คือ แอสไพริน ควรกินยานี้ตอนเช้า ห้ากินก่อนเข้านอน หรือเวลาที่แอลกอฮอล์ยังสะสมอยู่ในร่างกายมาก หรือ หากคลื่นไส้อาเจียนก็ต้องใช้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนและข้อควรระวังคือ ไม่ควรรับประทานพาราเซมอล เพราะทั้งแอลกอฮอล์และพาราเซตามอลมีอันตรายต่อตับ

หากมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียนมาก ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น ความดันโลหิตลดลง ห้องร่วงรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และอ่อนเพลีย เมาค้างเป็นนานกว่า 1 วัน ให้รีบไปพบแพทย์
วิธีป้องกันอาการ “เมาค้าง”

ก่อนดื่ม
• ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ขณะท้องว่าง เพราะอาหารในกระเพาะ จะช่วยป้องกันไม่ให้แอลกอฮอล์ ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป เตรียมตัวให้พร้อมด้วยการกินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น นม หมูทอด เค้ก ขนมหวาน เนย หรืออื่นๆ จะได้ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ไม่ให้แอลกอฮอล์ซึมผ่านสู่อวัยวะต่างๆ ได้เร็วนักแล้วก็จงตบท้ายด้วยอาหารประเภทโปรตีน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลา ไก่ ไข่ นม ถั่ว เป็นต้น

• ควรรับประทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSIDS หรือไอบูโพรเฟนก่อนเมแอลกอฮอล์ เพราะยาจะมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์prostaglandin ที่ทำให้เกิดอาการปวด แต่ไม่ควรรับประทานพาราเซตามอลโดยไม่จำเป็นขณะดื่ม หรือก่อนนอนหลังจากดื่ม เพราะทั้งแอลกอฮอล์และพาราเซตามอลมีอันตรายต่อตับ เมื่อรับประทานพร้อมกันจะอันตรายมากขึ้น

• ปัจจุบันนี้มีเครื่องดื่มป้องกันอาการเมาค้างที่ดื่มก่อนไปดื่มแอลกอฮอล์ด้วยก็พอจะช่วยได้ มักขายตามร้านสะดวกซื้อ

ระหว่างขณะดื่ม

• ควรทานอาหาร/กับแกล้มของขบเคี้ยวสลับกับการดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยชะลอการเมาได้มาก แต่ก็ควรดื่มให้น้อยด้วย

• เลี่ยงอาหารประเภทไขมัน ขณะดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้อาเจียนได้ง่าย

• หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มชนิดที่ผสมเข้าด้วยกัน

• เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ ควรดื่มน้ำตามด้วย เพื่อจะได้จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์เข้าสู่เส้นเลือด และป้องกันอาการร่างกายขาดน้ำ

• การป้องกันในระหว่างดื่ม ถ้ามีโอกาสได้ถือเหล้าติดมือไปฝากในวงเหล้า ถือว่าท่านเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ในการดื่มได้ ดังนั้นควรเลือกเหล้าชนิดที่มีดีกรีอ่อนหน่อย จะได้ช่วยให้กระบวนการเมตาบอลิซึมทำงานเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้ดี แล้วยิ่งถ้าได้ดื่มเหล้าที่แช่เย็นเจี๊ยบแบบที่เพิ่งออกมาจากช่องฟรีซในตู้ เย็นได้ นอกจากจะทำให้ดื่มได้ไม่บาดคอแล้วยังช่วยให้ดื่มได้นานโดยไม่เมาเร็วเกินไป ด้วย

หลังดื่ม

• ก่อนกลับบ้านถ้าเมาต้องไม่ขับรถ ควรจะดื่มน้ำส้ม เพราะวิตามินซีจะช่วยเร่งการเผาผลาญอาหาร หรือจะดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่พวกนักกีฬาดื่มกันก็ไม่เลว

• ควรดื่มน้ำมากๆ ก่อนเข้านอนด้วย เพื่อช่วยให้การขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย และลดการกระตุ้นให้ร่างกายดึงน้ำจากสมองมาใช้มีผลให้สมองเกิดการหดตัว

• ควรดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำผสมน้ำตาลเกลือแร่ก่อนเข้านอน เนื่องจากแอลกอฮอล์เข้าไปแทนที่น้ำตาลในตับระดับน้ำตาลในร่างกายจึงลดลง ทำให้คุณเกิดอาการเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย

คำแนะนำทั่วไป

• หลีกเลี่ยงการผสมเครื่องดื่มต่างชนิดเข้าด้วยกัน

• หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ในขณะท้องว่าง อาหารในกระเพาะจะช่วยป้องกันไม่ให้แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตเร็ว เกินไป การกินอาหารยิ่งมากระหว่างดื่มแอลกอฮอล์จะยิ่งลดผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อระบบ ร่างกาย

• ควรดื่มน้ำมากๆ ก่อนนอน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

• ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อบรรเทาอาการเมาค้าง เพราะกาแฟมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจะยิ่งทำให้การเสียดุลของของเหลวในร่างกายแย่ลง

• อย่าขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล เมื่อมีอาการเมาค้าง

• รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย มีคุณค่าทางโภชนาการและหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน

• เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องดื่มบรรเทาอาการเมาค้างที่ดื่มหลังจากไปดื่มแอลกอฮอล์มาก ซึ่งก็พอจะช่วยได้มักขายตามร้านสะดวกซื้อ
สูตรลับดับอาการเมาค้าง

• สูตรดื่มน้ำส้มเย็นเชี้ยบที่แช่ค้างคืน โดยผสมกับไข่ดิบเข้าด้วยกัน

• สูตรจิบน้ำมันดอกคำฝอยผสมน้ำมันงา

• สูตรจิบน้ำมันขิง ผสมโซดา น้ำ น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม

• สูตรกินแอสไพริน 2 เม็ด ในตอนเช้าและดื่มน้ำตามมากๆ

• สูตรกินปลาทูน่าที่ผสมน้ำมะนาว มะเขือเทศ กระเทียม พริก แตงกวา

• สูตรกินซุปไก่ผสมหอมใหญ่ แครอต แป้งข้าวโพด เกลือ กระเทียม

• สูตรกินน้ำกะหล่ำปลีดอง ผสมน้ำมันมะกอกเข้าด้วยกัน

• สูตรฝานมะนาวเป็นแว่นแล้วนำมาถูรักแร้

• สูตรทิ่มเข็มบนจุกก๊อกตามจำนวนดริ๊งที่ดื่ม(ยิ่งแปลกกว่าดื่ม) แต่ควรระวังอาจจะหยิบเข็มผิดๆ ถูกๆ หรือหยิบเข็มได้ก็อาจจะจิ้มพลาดไปถูกเพื่อนข้างๆ เข้า

• สูตรอบไอน้ำ แต่จะต้องไปตรวจสุขภาพก่อนว่าเป็นความดันโลหิตสูงหรือไม่ หรือมีโรคภัยไข้เจ็บอะไร มิฉะนั้นแทนที่จะหายเมาค้าง ท่านอาจะจะพับดับชีพได้เหมือนกัน

• สูตรใช้เปลือกของต้นควินินซึ่งขมปี๋จะช่วยรักษาการเมาค้างได้ นอกจากควินินแล้วพืชที่มีรสขมอื่นๆ ก็มักจะมีคุณสมบัตินี้เช่นกัน เช่น dandelion, gentian, mugwort และ angostura สำหรับ angostura นั้น มีทำเป็นน้ำยาขมเอาไว้ผสมเหล้า เรียกว่า Angostura Bitters เมื่อเกิดเมาค้าง จงเอา Angostura Bitters 2-3 หยดใส่ในน้ำร้อน เติม lle และมะขามเพื่อปรุงรส ดื่มน้ำชานี้เยอะๆ จะช่วยแก้การเมาค้างได้

• สูตรทานแปะก๊วย นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเป็นผู้พบว่าเมล็ดแปะก๊วยมีเอนไซม์ซึ่งจะช่วยให้ร่าง กายขจัด แอลกอฮอล์ได้เร็วขึ้น การกินเมล็ดแปะก๊วยจึงช่วยรักษาอาการเมาค้างได้ ในญี่ปุ่นมักจะเสิร์ฟเมล็ดแปะก๊วยในเวลามีปาร์ตี้โดยเชื่อกันว่าจะป้องกัน การเมาและเมาค้าง

ข้อมูลจาก คู่มือการให้การปรึกษาสำหรับผู้ประสบปัญหาแอลกอฮอล์
ขอขอบพระคุณ เว็บ http://sitesample.thport.com

เคล็ดลับหุงข้าวอย่างมืออาชีพ

สำหรับคน ไม่ถนัดทำกับข้าว แค่หุงข้าวง่าย ๆ ด้วยหม้อไฟฟ้า ก็อาจไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ใจปรารถนา วันนี้จึงมีวิธีแก้ไขปัญหา สำหรับพ่อครัวแม่ครัวมือใหม่มาฝาก

การหุง ข้าวใช่ว่าทุกคนจะทำออกมาได้ดี แม้จะใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าก็ตาม บางทีใส่น้ำมากไปข้าวก็แฉะ บางครั้งใส่น้ำน้อยไปข้าวก็สุก ๆ ดิบ ๆ หากใครเคยประสบปัญหาเหล่านี้ อย่าเพิ่งนำไปทิ้ง เพราะมีวิธีแก้ไขได้

ถ้าหุงข้าว แฉะเกินไป ให้นำขนมปังสัก 2-3 แผ่น ไปวางในหม้อหุงข้าว กดหุงอีกครั้ง จะช่วยแก้ปัญหาให้ข้าวไม่แฉะได้ สาเหตุเพราะขนมปังช่วยดูดซับน้ำและความชื้นเอาไว้ หรือถ้าใช้หม้อธรรมดา ไม่ได้ใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ให้ตั้งบนเตาด้วยไฟอ่อน ๆ หรือแก๊สอ่อน ๆ พักไว้ประมาณ 10 นาที ข้าวในหม้อก็จะสวยขึ้น

กรณีหุง ข้าวแล้วข้าวสุก ๆ ดิบ ๆ แก้ปัญหาโดยการละลายน้ำเกลือแล้วพรมลงบนฝาหม้อ โดยต้องปิดฝาหม้อให้สนิทสัก 10-15 นาที จะช่วยทำให้ข้าวสุกนุ่ม น่ารับประทานได้

แต่ถ้าอยาก ให้ข้าวออกมาดูสวยน่ารับประทาน ให้ใส่น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนชา ลงไปในข้าวที่กำลังหุงอยู่ (ตอนยังเป็นน้ำ) เมื่อข้าวสุกแล้ว เมล็ดข้าวที่ได้จะสวย สะอาด ขาว น่าทานยิ่งขึ้น.


ที่มา : Daily News Online

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชู เป็นสารประกอบของกรดน้ำส้มกับน้ำ ได้จากการหมักน้ำผลไม้จนเกิดแอลกอฮอล์ ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ หมักแล้วถ้าอยากได้น้ำส้มใช้เร็วๆ ก็หมั่นคนบ่อยๆ ให้ออกซิเจนลงไปทำการเปลี่ยนแปลงทางเคมีไม่ขาดตอน

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู ส่วนใหญ่เน้นเรื่องการดูแล ป้องกันรักษาสุขภาพและโรคภัย เช่น ใช้น้ำส้มสายชูผสมต้นโทงเทงสด หรือผักคราดหัวแหวนสดๆ คั้นเอกน้ำชุบสำลีอมไว้ข้างแก้มค่อยๆ กลืนทีละนิด แก้ฝีในคอ หรือต่อมทอนซิลอักเสบได้ชะงักนักแล

ยามไปเที่ยวทะเล ขอให้พกพาน้ำส้มสายชูไปด้วยทุกครั้ง หากเคราะห์หามยามร้าย เจอแมงกะพรุนไฟเข้าก็อย่าตกใจ ราดน้ำส้มตรงบริเวณถูกแมงกะพรุนทันที จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ทันใจ
ผิวที่เจอแดดจัดๆ จนเป็นรอยเกรียม ลูบด้วยน้ำส้มสายชู ผิวที่ไหม้จะไม่พองให้คุณปวดแสบทรมานได้อีก
ด้านการถนอมอาหาร สมัยก่อนมีการดองเปรี้ยวผักต่างๆ ด้วยน้ำส้มไว้บริโภคนานๆ เช่น ต้นหอม ผักเสี้ยน กระเทียม ขิง
ในแง่ของการขจัดรอยเปื้อน น้ำส้มสายชูก็เป็นมือโปรสำหรับแม่บ้านได้ยอดเยี่ยม เลือกใช้ได้ตามอาการต่อไปนี้
» รองเท้าหนัง รองเท้ายาง หรือสารสังเคราะห์ใดๆ ก็ตาม หากเปื้อนน้ำมันให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูแล้วจะหมดรอย

» กระจกบานเกล็ดสกปรก ล้างด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดรับรองเงางาม สะอาดใสแจ๋ว

» หม้ออะลูมิเนียมเป็นคราบดำ น้ำส้มสายชุละลายขี้เถ้าใต้เตาถ่าน ขัดถูก็สะอาดเอี่ยมในพริบตา

» ภาชนะทองแดง ทองเหลือง ขัดด้วยน้ำส้มผสมเกลือในอัตราส่วนเท่ากัน ผ้านุ่มๆ จุ่มพอหมาดเช็ดถูแล้วจะแวววาวขึ้น

» ของใช้พลาสติก ตลอดจนภาชนะอื่นๆ ในครัวเปื้อนไขมันมากจนเป็นรอยดำ ให้แช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู รอยเปื้อนจะหายไปพร้อมกับกลิ่นอาหาร

» ปัญหาของเตาอบ ถาดอบเครื่องครัวสแตนเลส และพื้อนครัวเป็นคราบสกปรกล้างยาก ใช้น้ำส้มเช็ดถู คราบฝังแน่นกับเศษอาหารตามพื้นจะหลุดง่าย ไม่เปลืองแรงขัด

» เฟอร์นิเจอร์ ฝาผนังบ้านต่างดำ มีคราบนิ้วมือของสมาชิกตัวเล็กผ้านุ่มๆ ชุบน้ำส้มสายชูร้อนๆ เช็ดปุ๊บหายปั๊บ

» อ่างล้างมือ อ่างอาบน้ำ ราวโครเมียมสกปรก เป็นสนิม น้ำส้มสายชูกับน้ำสบู่ เช็ดถู ทุกอย่างเงางามสะอาดตา

» รอยเปื้อนสุดท้ายที่มักสร้างความอับอายให้ก็คือ เสื้อผ้าบริเวณรักแร้เป็นคราบเหลืองนั้น น้ำส้มสายชูทาตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม หากได้แช่เสื้อผ้าในน้ำส้มสายชุสักครู่ก่อนซักตามปกติ กลิ่นเปรี้ยวและเหม็นอับจากเหงื่อจะหายพร้อมรอยเปื้อน
น้ำส้มสายชูยังมีคุณสมบัติ ขจัดกลิ่น ได้ไร้เทียมทาน กลิ่นอาหาร กลิ่นผลไม้แรงๆ อย่างทุเรียนที่ติดตามภาชนะพลาสติกนั้น ให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง

» ท่อระบายน้ำภายในอาคารบ้านเรือนที่มักสกปรกเร็ว ตามด้วยกลิ่นเหม็นรุนแรง รบกวนความสุข ให้เทผงฟูลงท่อน้ำร่องไปก่อน 1 กำมือ สักครู่ตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วย ทิ้งไว้สักพัก ลองเปิดน้ำระบายดุอีกที

» เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อควาย ถ้าแช่น้ำเกลือผสมน้ำส้มสายชูก่อนเก็บเข้าตู้เย็น กลิ่นคาวจะไม่ออกมารบกวนอาหารอื่นๆ ด้วย


การแก้ปัญหาภายในบ้าน

» ฝักบัวในห้องน้ำเกิดอุดตันใช้ไม่สะดวก น้ำที่ไหลกะปริบกะปรอย ลองถอดชิ้นส่วนออกมาแช่น้ำส้มสายชูปัดเศษฝุ่นด้วยแปรง แทงตามรูด้วยเข็มหมุด ล้างให้สะอาด ประกอบเข้าที่เดิม คราวนี้ฝักบัวไหลฉลุยแน่นอน
» ขวด แจกัน คนโทที่ปากแคบคอดเล็ก ทำความสะอาดยาก กรอกน้ำส้มสายชุ ผสมเปลือกไข่ทุบพอละเอียด แช่ไว้ แล้วเขย่าๆ เศษคราวสกปรกจะหลุดโดยง่าย
» หม้อและกาต้มน้ำชา กาแฟทั้งหลาย ใช้ไปนานๆมักมีตะกรัรนหินปูนจับหนา น้ำส้มสายชูผสมน้ำอย่างละถ้วย เทลงในภาชนะ ต้มให้เดือด แล้วทิ้งให้เย็นค้างไว้ 1 คืน ตะกอนทั้งหลายจะหลุดเป็นกระบิทีเดียว
ท่านสุภาพสตรีที่มีปัญหาม้วนผม หรือเซ็ทผมแล้วไม่อยู่ตัว หรือหยิกไม่ทนนาน โกรกผมด้วยน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เมื่อสระและเซ็ทตามปกติ ผมจะหยิกเป็นลอยสลวย ทนนานสะใจหลายวัน
» ไข่สดและใหม่มากเกินไป เวลาทำไข่ต้มมักมีปัญหาปอกเปลือกยาก ไข่เป็นรอยขรุขระไม่น่ารับประทาน ลองเติมน้ำส้มสายชูครึ่งช้อนชาลงในน้ำต้มไข่ ไข่ขาวจะไม่ติดเปลือก ปอกง่ายขึ้นกว่าเดิม
» ต้มแปรงสีฟันขนแข็งๆ ในน้ำส้มสายชู ขนจะนุ่มไม่ทิ่มเหงือกให้เจ็บปากอีก
» ปัญหาหินปูนจับตามเครื่องซักผ้า เครื่องล้างชาม แก้ด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย เทใส่เครื่องพร้อมน้ำ ปิดฝา เปิดเครื่องให้ทำงานตามปกติจะเห็นเครื่องสะอาดทันตา



น้ำส้มสายชูกับเคล็ดลับบางประการ

» อยากรับประทานผัดไทย หอยทอด ขนมจีน กับถั่วงอกอวบอ้วน ขาวกรอบละก็ แช่น้ำผสมน้ำส้มสายชูไว้สักครู่
» ดอกกุหลาบช่อใหญ่ อยากให้สดอยู่นานๆ น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 5 กรัม ผสมน้ำสะอาด 5 ถ้วย ด้วยสูตรนี้รดกุหลาบทั้งช่อ
» หม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้ไปนานๆ เกิดอาการน่าเป็นห่วง ก้นหม้อเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ ผสมคราบไคลน้ำข้าวจับหนาเตอะ อย่าใช้ฝอยขัดหม้อหรือใยเหล็กไปขัดเข้านะ เดี๋ยวหม้อเป็นรอยขีดข่วน หมดสวย ซ้ำพาเอาคุณภาพเสื่อม สารเคลือบผิวออกไปด้วย
สูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับ ก็น้ำส้มสายชูเจ้าเดิมครึ่งส่วน ผสมน้ำ 1 ส่วน เติมลงหม้อ เสียบปลั๊ก รอจนเดือดปุดๆ จึงถอดปลั๊ก เทน้ำทิ้ง แล้วล้างตามปกติคุณจะได้หม้อที่สะอาดเหมือนเดิม
» หยดน้ำส้มสายชูลงบนแว่นตาเช็ดด้วยผ้านุ่ม รอยขีดข่วนจะหายไป พร้อมคราบเหงื่อไคล
» เสื้อผ้าสีขาวสะอาด มักกลายเป็นสีขาวขุ่นเข้าทุกที เมื่อใช้ไปนานๆ เพียงผสมน้ำส้มสายชูลงขณะซัก วิธีนี้ผ้าจะขาวสะอาดยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้น้ำยาซักผ้าขาวให้ผ่าเปื่อยก่อนเวลา
» ลองใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดชำระล้างผมในน้ำครั้งสุดท้าย ดูสักครั้งจะพบว่า ความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู ช่วยล้างแชมพูออกได้สะอาดหมดจดเส้นผมเป็นเงางาม มีน้ำหนัก ปราศจากรังแคด้วย

"น้ำส้มสายชูราคาย่อมเยาเพียงขวดเดียว ที่มีอยู่ในครัว สามารถทำประโยชน์สารพัดอย่าง สุดแต่เราจะสร้างสรรค์ให้ถูกวัตถุประสงค์ ตรงตามความต้องการได้ไม่ยากนัก ในภาวะเงินทองเป็นของหายากนี้ น้ำส้มสายชูคงช่วยคุณประหยัดแรงงาน และค่าใช้จ่ายได้ดีทีเดียว"


แช่ผักชีสักก้านในน้ำส้มสายชู ดูว่าใบไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เพื่อทดสอบว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้



16 ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู


ใช้ลดไข้ เอาน้ำส้มผสมน้ำ 1 ต่อ 2 ส่วน เอาผ้าชุบเช็ดตัวคนไข้
ขจัดรังแค เอาน้ำส้มสายชู ชุปผ้าเช็ดศีรษะก่อนนอนทุกคืน
ป้องกันสีผ้าตก เอาน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ผสมน้ำแช่ผ้าไว้สัก 15 นาที ก่อนซัก สีจะไม่ตกและยังมีสีสดขึ้นอีกด้วย
แก้สิว เอาน้ำส้มสายชู 1 ช้อนชาผสมน้ำเชื่อมพอหวานนิดๆ ดื่มตอนเช้าๆ ทุกวัน 1 สัปดาห์ สิวจะหาย
แก้ไฝฝ้า ไข่ขาวไข่ไก่ 1 ฟอง ผสมน้ำส้ม 1 ช้อนชา ตีเป็นฟอง ทาหน้าก่อนนอนทุกคืน ถ้าหน้าแห้งใช้ใข่แดง ถ้าเอายางมะละกอครึ่งชอ้นชาผสมลงไปด้วยใช้ลอกหน้าได้ อย่าติดกันเกิน 3 วัน
ให้ยาทาเล็บติดทน เอาเล็บมือจุ่มลงในน้ำส้มสายชูก่อนทาสัก 2-3 นาทีก่อนทา หรือเอาสำลีชุบน้ำส้มสายชูทาเล็บก็ได้
ล้างภาชนะต่างๆ เช่น หม้ออลูมิเนียม มีคราบดำๆ ของผักที่ต้ม ใช้น้ำส้ม 1-2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำต้มให้เดือด 30 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ใช้ฝอยเหล็กขัดไปทางเดียวกันอย่าขัดในขณะหม้อกำลังร้อนๆ จะเป็นรอย
แก้กุ้งมีกลิ่นตุๆ เอากุ้งแช่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู 1-2 ช้อนโต๊ะ ประมาณ 15 นาที กุ้งจะขาวขึ้นกลิ่นตุๆ จะหายไปด้วย
ต้มผักให้กรอบ เอาน้ำส้มสายชูใส่ลงในน้ำต้มผัก 1-2 ช้อนโต๊ะ ผักจะกรอบและไม่ดำอีกด้วย ถ้ากะหล่ำดอกให้เอาผ้าขาวบางห่อต้ม ดอกจะไม่แตกกระจายออกจากกัน
ต้มปลาไม่ให้เนื้อปลาแตก เอาน้ำส้มสายชูใส่ลงในน้ำต้มปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ นอกจากเนื้อปลาจะไม่แตกยังมีสีขาวอีก
ต้มเนื้อให้เปื่อย เอาน้ำส้มสายชูผสมในน้ำต้มเนื้อสัก 1-2 ช้อนโต๊ะ เนื้อจะเปื่อยเร็วขึ้น ถ้าต้มลิ้นวัวจะลอกผิวหนังลิ้นง่ายขึ้นอีกด้วย บางคนใช้ยางมะละกอ กะลามะพร้าว และ น้ำแข็งแทนก็ได้
ล้างปลาทะเลที่มีคาวมากๆ เอาน้ำส้มสายชู 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำล้างปลา คาวจะหมดไป หรือจะใช้น้ำซาวข้าวแทนก็ได้เหมือนกัน
ขัดพื้นไม้ให้เป็นมัน น้ำส้มสายชู น้ำมันลินซีด แอลกอฮอล์จุดไฟ ผสมอย่างละเท่าๆ กัน ขัดพื้นเป็นเงางามดี
ให้สีฝุ่นสดขึ้น ช่างเขียนสีฝุ่นเวลาผสมสีกับกาว ถ้าเอาน้ำส้มผสมลงไปด้วย สีฝุ่นจะสีสดขึ้นกว่าเดิม
แก้ปวดฟัน เอาลิ้นทะเล (กระดูกขาวในตัวปลาหมึกตัวโตๆ) บดละเอียดผสมน้ำส้มสายชูพอเปียกๆ ทาตรงฟันปวดถ้าไม่หายใช้เกลือ สารส้ม การบูร อย่างละเท่าๆ กันห่อผ้าอมตรงฟันปวด หรือผสมพิมเสนด้วยทำยาสีฟันตองเช้าป้องกันฟันปวดและทำให้ฟันทนอีกด้วย
แก้เจ็บคอ ใช้นำส้มผสมน้ำมันสะระแหน่อย่างละเท่าๆ กัน อมไว้อย่ากลืน หรือใบสะระแหน่มาขยี้ผสมน้ำส้มอมแทนก็ได้ แต่ได้ผลไม่เหมือนน้ำมันสะระแหน่

จากหนังสือ เคล็ดลับคู่บ้าน

8 วิธีรับมือคนคิดไม่ดีในที่ทำงาน

น้อยคนนัก ที่จะเกิดมาบนโลกนี้แล้วไม่เคยถูกใครอิจฉาเลย การถูกอิจฉาริษยาจากคนในที่ทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย มักเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งถ้าหากคุณโชคดีพอ คนที่อิจฉาคุณก็จะไม่สามารถทำอะไรคุณได้ ทำได้เพียงแค่แอบมองคุณจากมุมมืด พร้อมส่งสายตาอิจฉามายังคุณเท่านั้น แต่ถ้าคุณโชคร้าย คุณก็อาจโดนคนประเภทนี้ออกมาเล่นงานคุณจัง ๆ จนเจ็บหนัก เสื่อมเสียชื่อเสียงได้เช่นกัน
อย่าง ไรก็ดี ไม่แน่ว่าความร้ายกาจของคนที่อิจฉาคุณอยู่นั้นอาจถูกสยบลงได้ หากคุณมีวิธีจัดการที่ดีกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งวิธีจัดการจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย
1. หยิบยื่นความเป็นมิตร
แม้ ว่าคุณอาจได้ยิน หรือพอจะรู้สึกได้ว่า มีคนบางคนแอบอิจฉาคุณอยู่ แต่การเดินหน้าเข้าไปลุย หรือเข้าไปจัดการกับคู่กรณีอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก หากทำได้ ลองมีน้ำใจ ทำสิ่งดี ๆ กับเขาคนนั้นก่อนจะดีกว่า เช่น พูดกับเขาดี ๆ หรือมีขนมก็แบ่งกัน การลองทำสิ่งดี ๆ แก่กันอาจช่วยเปิดโอกาสให้คุณและเขาคนนั้นได้รู้จักกันดียิ่งขึ้น และทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้
แต่ ถ้าหากลองทำแล้วยังไม่เป็นผล ก็อย่านำเรื่องนี้มาเก็บเป็นอารมณ์ให้กังวลใจไปเลย เพราะคนเราก็มีได้หลายมุม หลายความรู้สึก เราไม่อาจทำให้ทุกคนรู้สึกดีกับเราได้ทั้งหมด หรือถ้าสบโอกาส ลองสังเกตดูก็ได้ว่า เขาคนนั้นทำนิสัยเดียวกันกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ หรือไม่ ถ้าทำ ก็เป็นไปได้ว่า นั่นคือตัวตนของเขา และไม่ได้มีแต่คุณที่เจอเขาอิจฉาใส่
2. กระตุ้นให้มีการทำงานเป็นทีม
เพราะ การทำงานเป็นทีมจะสำเร็จได้ ทุกคนต้องหันมาร่วมมือกัน ซึ่งการทำเช่นนั้นก็อาจทำให้คุณและคนที่อิจฉาคุณได้มีโอกาสศึกษานิสัยใจคอ กันมากขึ้นกว่าเดิม เข้าใจกันมากกว่าเดิม นำไปสู่การเลิกอคติ หรือมองกันในแง่ร้ายได้
3. มุ่งมั่นในหน้าที่ของตัวเอง
การ เปลี่ยนจุดหมายในการทำงาน แทนที่จะพัฒนางานของตนเองให้ดีขึ้น ไปหาคนที่อิจฉา หรือจ้องจะทำไม่ดีกับคุณอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ คุณควรเอาเวลาในออฟฟิศไปมุ่งมั่นพัฒนางานของตนเองให้ดียิ่งขึ้น ศึกษาความต้องการขององค์กร เป้าหมายของหัวหน้างาน ฯลฯ แล้วปรับปรุงการทำงานของตนเองให้เป็นไปในทิศทางนั้น ๆ เพื่อที่ว่าอย่างน้อย เพื่อนร่วมงานคนนั้นก็จะได้ไม่สามารถทำลาย หรือพูดถึงคุณในแง่ไม่ดีได้นั่นเอง
4. เข้มแข็งเข้าไว้
บาง คนกว่าจะทราบว่ามีคนอิจฉา หรือลอบใส่ความ ก็มาสังเกตได้เมื่อสายไปเสียแล้ว เช่น เพื่อนร่วมงานทั้งออฟฟิศต่างได้รับข้อมูลเท็จเกี่ยวกับตัวคุณจากคน ๆ นั้น และไม่มีใครอยากคบหาสมาคมกับคุณอีก ถ้าเป็นเช่นนี้ ขอให้เข้มแข็งเข้าไว้ ยืดอกเชิดหน้าให้มั่น (จะแอบร้องไห้ก็ได้ ถ้าร้องเสร็จแล้วตาไม่แดง) เพราะถ้าคุณไปแอบร้องไห้ หรือทำตาแดง ๆ ก็เท่ากับเข้าล็อกตามที่เขาต้องการ แล้วเขาก็จะจัด "ปฏิบัติการลอบเมาท์" ตามมาอีกชุดใหญ่
5. สร้างความน่าเชื่อถือในหมู่เพื่อนร่วมงาน
ไ่ม่ม ีอะไรสามารถสร้างแรงหนุนให้กับคุณ และผลักคำกล่าวหาร้าย ๆ ออกไปได้เร็วเท่ากับการทำดีกับคนรอบข้าง หากคุณได้รับการยอมรับจากทีม หรือคนอื่น ๆ ที่มีความเชื่อมั่นในตัวของคุณ พวกเขาจะไม่สนใจคำว่าร้ายนินทาจากคนที่อิจฉาคุณแต่ประการใด และจะทำให้คนที่อิจฉาคุณอยู่นั้นต้องยอมจากไปแต่โดยดี
6. กันไว้ดีกว่าแก้
การป้องกันการเกิดความอิจฉาในหมู่เพื่อนร่วมงาน อาจทำได้หลายแบบ เช่น การกล่าวชื่นชมทุก ๆ คนที่มีส่วนต่อความสำเร็จในงาน (เพื่อนร่วมงานบางคนอาจหาความมีส่วนร่วมไม่เจอ แต่ก็ขอให้พยายามนึกให้ออก) แม้ จะเล็กน้อย แต่การกล่าวชมออกไป เผื่อแผ่ความดีความชอบออกไป จะทำให้คุณไม่ตกเป็นเป้าจากคนขี้อิจฉาเหล่านั้น อีกทั้งยังทำให้คนที่ได้รับคำชม หรือการพูดถึงจากคุณไม่รู้สึกอิจฉาคุณด้วย
7. หากปัญหารุนแรง เข้าพบหัวหน้าย่อมดีที่สุด
ไม่ ได้หมายความว่าคุณต้องเข้าไปร้องไห้ฟูมฟายขณะเล่าให้ผู้จัดการ หรือหัวหน้าของคุณฟัง เพราะมันจะดูเหมือนเด็กถูกเพื่อนแกล้งแล้วเข้าไปฟ้องครู ถ้าจะเข้าพบหัวหน้าเพื่อแจ้งถึงปัญหาดังกล่าวให้รับรู้ การวางตัวให้เหมาะสมก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น เอ่ยถึงปัญหา และความวิตกกังวลของคุณ ขอคำแนะนำในการปฏิบัติตัวกับปัญหาดังกล่าว เรียกว่า ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า
8. ไม่ว่าอย่างไร เป็นคนน่ารักไว้ก่อน
แม้ ว่าจะมีคนทำไม่ดีกับคุณอย่างมาก แต่ถ้าคุณอดทนกับมัน และใจดีพอที่จะไม่ถือสาหาความกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ก็เป็นไปได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกอิจฉานั้นก็จะถูกแทนที่ด้วยความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นั่นเอง
แต่ถ้าวันใด ตัวคุณเองกลายเป็นฝ่ายอิจฉาคนอื่นบ้าง ก็จัดการกับความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะไปทำร้ายใครดีกว่านะ
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
 

พิษของอาหาร ๒ ชนิดที่ไม่ควรกินร่วมกัน

อาหาร ๒ ชนิดที่ไม่ควรกินร่วมกัน

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน บางอย่างมีประโยชน์ บางอย่างไม่มีประโยชน์ แต่คุณ ทราบหรือไม่ว่า อาหารบางอย่างที่เราทานเข้าไปทุกวันๆ เราคิดว่ามีประโยนช์มากมายนั้น บางอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด มาดูดีกว่าว่ามีอาหารชนิดไหนบ้าง
1. เหล้าขาวกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นพิษ
2. หัวไชเท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว - ห้ามรับประทารด้วยกัน จะเป็นโรคผิวห...นัง
3. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง - ห้ามรับประทานด้วยกันจะทำให้หูหนวก
4. มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า
5. กล้วยกับเผือก - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้ท้องอืด
6. ถั่วลิสงกับฟักทอง - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้ทำร้ายร่างกายและลำไส้อักเสบ
7. มันเทศกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร
8. มันฝรั่งกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ
9. หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก
10. น้ำเต้าหู้ นมสด - ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำให้ท้องผูกและเส้นเลือดตับ
11. ผักป๋วยเล้ง - ห้ามรับประทานกับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง
12. กล้วยมะละกอ แตงโม - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน
13. ส้มกับมะนาว - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้กระเพาะทะลุ
14. เหล้าขาวกับเบียร์ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก
15. ปลาทุกชนิด - ห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง
16. ขิงดอง - ห้ามเข้าตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรค มะเร็ง
17. น้ำเต้าหู้ - ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน
18. น้ำข้าว - ห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน
19. น้ำผึ้ง - ห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน
20. บวบ ซือกวย ไชเท้า - ห้ามรับประทานวันเดียวกัน จะทำให้เป็นเบาหวาน ทำให้เชื้ออสุจิอ่อนไม่แข็งแรง
21. มังคุดกับน้ำตาล- กินร่วนกันจะทำให้เสียชีวิต

สาระน่ารู้ ขจัดคราบรอยเปื้อน

การกำจัดรอยเปื้อนต่างๆ บนเสื้อผ้า

การใช้เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายให้ทนทาน และอยู่ในสภาพดีนั้น ต้องรู้จักวิธีทำความสะอาด และกำจัดรอยเปื้อนต่างๆ บนเสื้อผ้า ดังนี้


๑. รอยเปื้อนกาว ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดที่รอยเปื้อน นำมาแช่ในน้ำเย็น แล้วซักตามปกติ

๒. รอยเปื้อนขี้ผึ้ง วางกระดาษซับบนรอยเปื้อนแล้วกดด้วยเตารีดที่ร้อน เปลี่ยนกระดาษจนกระทั่งไขทั้งหมดถูกดูดซับไปหมด สำหรับผ้าเนื้อบางหรือผ้าไหมให้ใช้กระดาษทิชชูซับแทนกระดาษธรรมดา และใช้เตารีดที่ไม่ร้อนมาก

๓. รอยเปื้อนไข่ ผสมน้ำซักผ้ากับน้ำอุ่น แล้วนำผ้าเปื้อนไปซัก

๔. คราบน้ำตาเทียน ใช้ก้อนน้ำแข็งขูดเกล็ดเทียนออกให้มากที่สุด จากนั้นจึงใช้กระดาษประกบบริเวณที่เปื้อนทั้ง ๒ ด้าน แล้วใช้เตารีดอุ่นๆ รีดทับจนน้ำตาเทียนซึมออกมาติดกับกระดาษแล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

๕. คราบโคลน ปล่อยให้โคลนแห้ง แล้วใช้แปรงปัดออก ซักด้วยน้ำเย็นหลายๆ ครั้งจนไม่มีน้ำโคลนออกมา จึงซักด้วยผงซักซอก

๖. คราบน้ำชา รีบเทน้ำเดือดลงบนรอยเปื้อนบนผ้าที่เพิ่งเปื้อนจนรอยจางลง จากนั้นนำไปซักในน้ำอุ่นกับสบู่ ถ้ายังไม่ออกให้ใช้น้ำยาฟอกขาวเช็ด แล้วจึงนำไปซัก

๗. น้ำผลไม้, น้ำมันพืช นำผ้าที่เปื้อนไปขึงให้ตึงบนปากกะละมัง เทน้ำเดือดลงบนรอยเปื้อน แล้วจึงนำผ้าไปซัก

๘. รอยเปื้อนน้ำหมึก ก่อนซักให้นำเกลือป่นโรยตรงรอยเปื้อน แล้วบีบน้ำมะนาวลงไปให้ชุ่ม ผึ่งแดดไว้ครึ่งวัน จึงค่อยนำไปซัก

๙. รอยเปื้อนกาแฟ ใช้แป้งข้าวเจ้าถูบริเวณรอยเปื้อน แล้วจึงนำไปซักตามปกติ

๑๐. รอยเปื้อนน้ำส้มสายชู ผสมแอมโมเนีย ๑ ช้อนชา ในน้ำ ๒ ถ้วย (ครึ่งลิตร) แล้วนำผ้าไปแช่ ๒-๓ นาที ล้างออกแล้วซักตามปกติ

๑๑. รอยเปื้อนช็อกโกแลต รีบนำผ้าที่เปื้อนไปแช่น้ำอุ่นทันทีที่เปื้อน อาจใช้น้ำยาขจัดคราบช่วยด้วย จากนั้นนำไปซักตามปกติ

๑๒. รอยเปื้อนเลือด นำนมข้นหวานทาบริเวณรอยเปื้อน ทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำไปขยี้น้ำออก

๑๓. รอยเปื้อนคราบเลือดจางๆ ใช้เบคกิ้งโซดาผสมน้ำสักเล็กน้อย จนข้น นำไปถูเบาๆ ตรงรอยเปื้อน เมื่อแห้งจึงปัดฝุ่นออก

๑๔. รอยเปื้อนคราบเลือดฝังแน่น ใช้ฟองน้ำจุ่มน้ำเย็นที่ผสมเกลือจนชุ่ม ถูเบาๆ จนรอยค่อยๆ จางลง แล้วใช้น้ำเปล่าถูอีกครั้ง สุดท้ายใช้ทิชชู่ซับน้ำให้แห้ง

๑๕. เปื้อนครีม เนย น้ำมัน นำแป้งฝุ่นทาตัวมาโรย ใช้กระดาษทิชชู่ หรือกระดาษบางอื่นๆ วางทับ นำเตารีดที่ร้อนพอสมควร วางทับบนกระดาษ จนแป้งดูดคราบมันออกหมด จึงนำไปซัก

๑๖. รอยเปื้อนสนิม นำผ้ามาชุบน้ำให้เปียกก่อน บีบน้ำมะนาวลงไปบนรอยเปื้อนทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงนำไปซักตามปกติ

๑๗. ผ้าขาวที่ออกสีเหลือง ใช้เปลือกไข่ป่นละเอียด ใส่ในกะละมังซักผ้า แช่ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงซักตามปกติ

๑๘. ผ้าขึ้นรา (เล็กน้อย) นำผ้าไปซักในน้ำสบู่ร้อนๆ หรือบีบมะนาวลงไปตรงที่มีราขึ้น แล้วแช่ผ้าไว้ในผงซักฟอกสักครู่ แล้วจึงซักผ้าตามปกติ

๑๙. รอยเปื้อนยาแดง เช็ดรอยเปื้อนด้วยแอมโมเนีย หรือซักด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำ

๒๐. รอยเปื้อนยาทาเล็บ ซับที่รอยเปื้อนด้วยน้ำยาล้างเล็บ และเช็ดด้วยผ้าที่สะอาดจนรอยเปื้อนจางลง (ควรลองหยดน้ำยาทาเล็บลงผ้าก่อน)

๒๑. รอยเปื้อนยางกล้วย ใช้มะนาวที่ฝานเป็นชิ้นบางๆ ถูตรงรอยเปื้อนที่เป็นคราบดำแล้วรีบนำมาซักทันที

๒๒. รอยเปื้อนลิปสติก ใช้มันเปลวหมูทาตรงรอยเปื้อน หรือใช้น้ำมันหมูทา แล้วจึงซักในน้ำสบู่ร้อนๆ หรือใช้ผงซักฟอกโรยตรงรอยเปื้อน แล้วขยี้ จากนั้นจึงซักตามปกติใช้วาสลินถูตรงรอยเปื้อน แล้วนำไปซักตามปกตินำผ้าที่เปื้อนไปแช่ในน้ำผสมเกลือทิ้งไว้ ๑ คืน จะทำให้รอยลิปสติกหายไป

๒๓. รอยเปื้อนดินสอ ใช้ยาสีฟันป้ายลงบนรอยดินสอแล้วขยี้

๒๔. รอยเปื้อนปากกาลูกลื่น ใช้ฟองน้ำชุบแอลกอฮอล์เช็ดจนรอยจางลง แล้วจึงนำไปซัก

๒๕. รอยเปื้อนหมากฝรั่ง ขูดยางหมากฝรั่งออกด้วยสันมีด แล้วใช้น้ำแข็งถูเพื่อให้ยางนั้นแข็งตัว แล้วค่อยๆ แกะออก จากนั้นใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ด นำไปซักในน้ำสบู่อ่อน

๒๖. คราบเหงื่อไคล ซักด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย หรือน้ำมะนาวละลายยาแก้ปวด ๒ เม็ดลงในน้ำ แช่ผ้าไว้สักครู่ จึงค่อยซักตามปกติ
Credit by: baanmaha.com