GRAPHIC DESINGER

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วิธีป้องกันแผลร้อนในในปาก

วิธีรักษา
ให้สังเกตอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นนมชง หรืออาหารเสริม
ควรกวาดปากเด็กเป็นระยะ สำหรับเด็กเล็ก

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน

ร้อนในหรือแผลในปาก เชื่อว่าทุกคนคงเคยเป็นกัน เวลาเป็นแล้วจะเจ็บและรับประทานอะไรก็ลำบาก

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนในมาฝากกัน..

1. ระวังอย่าให้ท้องผูก เพราะร้อนในมักจะเป็นร่วมกับท้องผูก

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ร้อนใน เช่น ของทอด ของมันๆ ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย ข้าวเหนียวมะม่วง ฯลฯ อาหารพวกนี้กินแต่เพียงน้อยๆ อย่ากินมาก

3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระเทียม หอม ขิง ฯลฯ แต่พริกกินได้

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดอารมณ์เครียด ความเครียดส่วนมากทำให้เป็นโรคนี้

5. รักษาความสะอาดในช่องปากอย่างเข้มงวด คือ แปรงฟันทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารแล้ว(ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังอาหาร)

6. ดื่มน้ำมากๆ วันหนึ่ง ๆ ให้ได้ 10 แก้วขึ้นไป

7. อย่าอดนอน

8. กินผักและผลไม้มากๆ

ยารักษาร้อนใน ยาแก้ไข้ ตรา เอ
เลขทะเบียนยาที่ G 611/48
สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน เช่น แผลร้อนใน เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ ลิ้นแตก เหงือกบวม ตกหมอน
ครั่นเนื้อตัว กระทั่งเป็นไข้ แก้อาการหวัดแบบร้อนใน รวมถึง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ
(เพราะถ้าร่างกายไม่ร้อนใน ก็ทำให้มีภูมิต้านทาน สามารถกำจัดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้)
ถ้าไม่เป็นไข้ แต่มีอาการร้อนในดังกล่าว ก็รับประทานได

แผลร้อนใน Aphthous ulcer แซชือ
     แผลร้อนในนั้นต่างกับแผลเริมที่ปาก โดยแผลเริมเกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus 1 (HSV-1)
(รักษาแผลเริมได้ด้วยการใช้ใบพญายอเพสลาด หมายถึง ใบที่ไม่อ่อนหรือไม่แก่ มาคั้นน้ำแล้วทาแผลเริมวันละ 4-5 ครั้ง)
     ส่วนแผลร้อนในนั้นเกิดจากภาวะการ พร่อง(ซึ่งจะกล่าวต่อไป) โดยแผลร้อนในเป็นแผลที่พบมากบริเวณริมฝีปากด้านใน หรือกระพุ้งแก้ม หรือเหงือก บางรายเกิดแผลร้อนในที่ลิ้น   แผลร้อนในจะเริ่มจากตุ่มเล็กๆ แล้วกลายเป็นวงและมีขนาด
ใหญ่ขึ้น ตรงกลางจะมีเยื่อสีขาวบางๆ ขอบจะบวมแดง และมีอาการปวด มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งนิ้ว บางรายเกิดขึ้นตำแหน่งเดียว บางรายเกิดหลายตำแหน่งพร้อมๆกัน บางรายแผลเก่ายังไม่ทันหายแผลใหม่ก็มาเกิด จะเจ็บมาก
เมื่ออาหารหรือลิ้นไปโดนถูก
     คนจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า "แซชือ" แต่ถ้ามีการปูดเป็นก้อนที่ด้านข้างของเหงือก เรียก "ผู่คีเปา" หรือบางครั้งตุ่มเล็กจะ
ไม่กลายเป็นแผลร้อนในแบบเปิด แต่จะปูดเป็นตุ่มใหญ่ขึ้นมาบริเวณใต้ริมฝีปากด้านใน หรือใต้ลิ้น ทำให้ตกใจ
ผู้ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากร้อนใน ก็จะไปพบแพทย์เพื่อผ่าตัดออก
สาเหตุของแผลร้อนใน     จริงๆแล้ว แผลร้อนใน ไม่ได้เกิดจากเชื้อใดๆ แต่แผลร้อนในหรืออาการร้อนในเกิดจากคนที่มี
ภาวะอิน(ยิน,หยิน)พร่อง แล้วมีพฤติกรรมที่ทำให้หยางแกร่ง เช่น รับประทานอาหารเผ็ด ของทอด-อบ-กรอบ ผลไม้บางชนิด
จึงเกิดความไม่สมดุลระหว่างอิน-หยาง ทำให้แสดงออกมาเป็นอาการร้อนใน  เมื่อร่วมกับการนอนดึก หรืออดนอน
ก็จะเกิดแผลร้อนใน บางรายอาจมีอาการร้อนในอื่นๆ เช่น เจ็บคอ ลิ้นแตก เหงือกบวม เป็นไข้ ร่วมด้วย หรือหายจากเป็นไข้ แล้วมีแผลร้อนในขึ้นมา
      บางท่านอาจคิดว่า แผลร้อนใน เกิดจากการกัดถูกกระพุ้งแก้มหรือลิ้นของตัวเอง แต่ความจริงแล้วเกิดจากร้อนใน
เพราะเมื่อร้อนใน กระพุ้งแก้มก็หนาตัวขึ้นหรือลิ้นจะมีการพองตัวมากขึ้น จึงไปกัดถูก ถ้าหากว่าเป็นแผลที่ไม่ได้มีอาการ
ร้อนใน เพียงแค่ 1-2 วันก็จะหายเป็นปกติ แต่เมื่อร่างกายร้อนใน แผลนั้นก็ไม่ค่อยหาย แล้วยังขยายใหญ่ขึ้นเป็นแผลร้อนใน
     ร้อนในมีหลากหลายอาการแล้วแต่ว่าจะเกิดกับอวัยวะส่วนไหน เช่น เส้นที่คอตึง ตกหมอน มีขี้ตา ตาแฉะ ระคายเคืองตา
บางครั้งน้ำตาไหลเอง หรือมีเม็ดที่ตาคล้ายตากุ้งยิง มีเสมหะ ไอ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ(Tonsillitis) ปากเป็นแผลร้อนใน
เหงือกบวม ลิ้นแตก ในปากมีตุ่มปูด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ท้องผูก อุจจาระแข็ง-ดำ (ระบบทางเดินอาหารไม่มีเลือดออก)
แต่บางครั้งก็ถ่ายเหลวและมีลม บางทีก็ร้อนในในหลายส่วนพร้อมกัน ทำให้มีหลายอาการพร้อมกัน
รวมถึงเป็นต้นเหตุของอาการไข้หวัด เพราะเมื่อร้อนใน ภูมิต้านทานก็ลดลง
อาการเหล่านี้แต่ละคนจะไว(Sensitive)ไม่เท่ากัน เนื่องจากดุลยธาตุ(อิน-หยาง)ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
การรักษาอาการร้อนใน แผลร้อนใน
  • ห้ามรับประทานยาบำรุง เช่น เขากวางอ่อน โสมคน(หยิ่งเซียม)   ยาที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น พริกไทย ดีปลี อบเชย(ชินนามอน)
  • งดอาหารที่ทอดน้ำมัน อาหารรสเผ็ด อาหารหวานจัด หรือขนมบางอย่างเช่น คุ้กกี้ ขนมกรอบๆ หรือเบียร์บางยี่ห้อ
    ผลไม้บางชนิด เช่น ลำไย ทุเรียน เงาะ ขนุน ลิ้นจี่ ละมุด มะม่วงสุก รวมถึงข้าวเหนียว
    (แต่ละคนไวต่ออาหารไม่เหมือนกัน)
  • สำหรับเด็กที่ดื่มนมชง ให้สังเกตนมชงด้วย เพราะนมแต่ละยี่ห้อ มีสูตรที่ไม่เหมือนกัน บางสูตรทำให้ร้อนใน
  • นอนหลับให้เต็มที่ ดื่มน้ำให้มากขึ้นในกรณีที่ดื่มน้ำน้อย
  • รักษาอาการร้อนในหรือแผลร้อนใน โดยการรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ ซึ่งแก้อาการร้อนในได้ดีมาก
    ถ้า รู้สึกว่าแผลร้อนในกำลังจะเกิดขึ้น หรือเริ่มมีอาการร้อนใน ให้รีบรับประทานยา จะทำให้แผลร้อนในไม่เกิดขึ้นมา หรืออาการร้อนในหายได้เร็ว
  • การรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ รับประทานเมื่อมีอาการร้อนใน เมื่อหายร้อนในก็หยุดรับประทาน สลับกันไปเรื่อยๆ
    ในระยะยาว จะทำให้อาการร้อนในเป็นน้อยลงหรือไม่เป็นขึ้นมา เพราะในยาแก้ไข้ ตรา เอ มีตัวยาที่เสริมอิน ทำให้
    ร่างกายผู้ที่พร่องอินได้สมดุล
อาการหวัดแบบร้อนใน หมายถึง
     อาการหวัดที่เริ่มต้นด้วยการร้อนใน เช่น เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้ ริมฝีปากแดง ลิ้นแดง
น้ำมูกไหล เป็นหวัด มีเสมหะ(เป็นสีเขียวก็ได้)
ตกหมอน
     เมื่อเกิดอาการตกหมอน ให้รับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ และ ยากษัยเส้น ตรา เอ โดยรับประทานชนิดใดก่อนก็ได้
อีกสักประมาณ 1 ชม. ก็รับประทานอีกชนิดตาม
คำแนะนำสำหรับการใช้ยาแก้ไข้ ตรา เอ
-งดอาหารที่ทำให้ร้อนในดังที่กล่าวมา
-ควรพักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานยาแต่เนิ่นๆ จะรักษาอาการร้อนใน หรือ แผลร้อนใน ให้หายได้เร็ว
-ผู้ใหญ่อายุ 12 ปีขึ้นไป รับประทานครั้งละ 2-4 เม็ด ถ้าเป็นไข้หนัก สามารถรับประทานครั้งละ 4 เม็ด ทุกๆ 3 ชั่วโมง
ถ้ามีแผลร้อนในมาก หรือมีอาการร้อนในหนัก รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และใช้เวลา
รักษานานกว่าปกติ(สามารถรับประทานติดต่อกันได้ ไม่อันตราย)
-เด็กอายุ 4-11 ขวบ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ถ้ากลืนยาไม่ได้ให้นำเม็ดยามาบดผสมน้ำผึ้งน้ำมะนาวแล้วกลืนและดื่มน้ำตาม
วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
-ยาแก้ไข้ ตรา เอ ไม่ทำให้ง่วงนอน และไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร(ไม่กัดกระเพาะอาหาร)
ยาเม็ดทุกตำรับ บรรจุในแผงอลูมิเนียมฟอยล์ (Strip pack)

ข้อดี คือ
  • ป้องกันความชื้นและเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่เม็ดยา
    โดยทั่วไปในบรรยากาศจะมีทั้งความชื้นและเชื้อจุลินทรีย์
    หากเป็นยาที่ใส่ขวด เมื่อเปิดขวดแล้ว ยาจะมีการปนเปื้อนของเชื้อ
    ความชื้นในบรรยากาศ ทำให้เชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโต
    ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดจะสร้างสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • พกพาสะดวก สำหรับผู้ที่ต้องเดินทาง
  • ป้องกันไม่ให้ยาเสื่อมคุณภาพจากแสงสว่าง
ยาเม็ดทุกตำรับ เป็นยาตอกเม็ด (Tablet)
ข้อดี คือ
  • ปราศจากวัตถุกันเสีย
    เนื่องจากยาที่บรรจุแคปซูล ส่วนของเปลือกแคปซูลทำมาจากเจลาติน
    ซึ่งเจลาตินก็ทำมาจากกระดูกหรือหนังสัตว์ จึงเป็นแหล่งอาหารของ
    เชื้อจุลินทรีย์   ดังนั้นผู้ผลิตเปลือกแคปซูลจำเป็นต้องใส่วัตถุกันเสีย และถ้าหากผู้ผลิตเปลือกแคปซูลใช้เจลาตินที่ไม่สะอาด ก็จะต้องใส่
    วัตถุกันเสียเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นอันตรายกับผู้บริโภค
  • ลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบางชนิด
    เนื่องจากเจลาตินทำมาจากกระดูกหรือหนังสัตว์ เช่น วัว หมู
    จึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อวัวบ้า และขัดกับหลักของผู้ที่รับประทานเจ หรือมังสวิรัติ

วิธีป้องกันแผลร้อนในในปาก

วิธีรักษา
ให้สังเกตอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นนมชง หรืออาหารเสริม
ควรกวาดปากเด็กเป็นระยะ สำหรับเด็กเล็ก

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน

ร้อนในหรือแผลในปาก เชื่อว่าทุกคนคงเคยเป็นกัน เวลาเป็นแล้วจะเจ็บและรับประทานอะไรก็ลำบาก

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนในมาฝากกัน..

1. ระวังอย่าให้ท้องผูก เพราะร้อนในมักจะเป็นร่วมกับท้องผูก

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ร้อนใน เช่น ของทอด ของมันๆ ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย ข้าวเหนียวมะม่วง ฯลฯ อาหารพวกนี้กินแต่เพียงน้อยๆ อย่ากินมาก

3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระเทียม หอม ขิง ฯลฯ แต่พริกกินได้

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดอารมณ์เครียด ความเครียดส่วนมากทำให้เป็นโรคนี้

5. รักษาความสะอาดในช่องปากอย่างเข้มงวด คือ แปรงฟันทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารแล้ว(ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังอาหาร)

6. ดื่มน้ำมากๆ วันหนึ่ง ๆ ให้ได้ 10 แก้วขึ้นไป

7. อย่าอดนอน

8. กินผักและผลไม้มากๆ

ยารักษาร้อนใน ยาแก้ไข้ ตรา เอ
เลขทะเบียนยาที่ G 611/48
สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน เช่น แผลร้อนใน เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ ลิ้นแตก เหงือกบวม ตกหมอน
ครั่นเนื้อตัว กระทั่งเป็นไข้ แก้อาการหวัดแบบร้อนใน รวมถึง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ
(เพราะถ้าร่างกายไม่ร้อนใน ก็ทำให้มีภูมิต้านทาน สามารถกำจัดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้)
ถ้าไม่เป็นไข้ แต่มีอาการร้อนในดังกล่าว ก็รับประทานได

แผลร้อนใน Aphthous ulcer แซชือ
     แผลร้อนในนั้นต่างกับแผลเริมที่ปาก โดยแผลเริมเกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus 1 (HSV-1)
(รักษาแผลเริมได้ด้วยการใช้ใบพญายอเพสลาด หมายถึง ใบที่ไม่อ่อนหรือไม่แก่ มาคั้นน้ำแล้วทาแผลเริมวันละ 4-5 ครั้ง)
     ส่วนแผลร้อนในนั้นเกิดจากภาวะการ พร่อง(ซึ่งจะกล่าวต่อไป) โดยแผลร้อนในเป็นแผลที่พบมากบริเวณริมฝีปากด้านใน หรือกระพุ้งแก้ม หรือเหงือก บางรายเกิดแผลร้อนในที่ลิ้น   แผลร้อนในจะเริ่มจากตุ่มเล็กๆ แล้วกลายเป็นวงและมีขนาด
ใหญ่ขึ้น ตรงกลางจะมีเยื่อสีขาวบางๆ ขอบจะบวมแดง และมีอาการปวด มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งนิ้ว บางรายเกิดขึ้นตำแหน่งเดียว บางรายเกิดหลายตำแหน่งพร้อมๆกัน บางรายแผลเก่ายังไม่ทันหายแผลใหม่ก็มาเกิด จะเจ็บมาก
เมื่ออาหารหรือลิ้นไปโดนถูก
     คนจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า "แซชือ" แต่ถ้ามีการปูดเป็นก้อนที่ด้านข้างของเหงือก เรียก "ผู่คีเปา" หรือบางครั้งตุ่มเล็กจะ
ไม่กลายเป็นแผลร้อนในแบบเปิด แต่จะปูดเป็นตุ่มใหญ่ขึ้นมาบริเวณใต้ริมฝีปากด้านใน หรือใต้ลิ้น ทำให้ตกใจ
ผู้ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากร้อนใน ก็จะไปพบแพทย์เพื่อผ่าตัดออก
สาเหตุของแผลร้อนใน     จริงๆแล้ว แผลร้อนใน ไม่ได้เกิดจากเชื้อใดๆ แต่แผลร้อนในหรืออาการร้อนในเกิดจากคนที่มี
ภาวะอิน(ยิน,หยิน)พร่อง แล้วมีพฤติกรรมที่ทำให้หยางแกร่ง เช่น รับประทานอาหารเผ็ด ของทอด-อบ-กรอบ ผลไม้บางชนิด
จึงเกิดความไม่สมดุลระหว่างอิน-หยาง ทำให้แสดงออกมาเป็นอาการร้อนใน  เมื่อร่วมกับการนอนดึก หรืออดนอน
ก็จะเกิดแผลร้อนใน บางรายอาจมีอาการร้อนในอื่นๆ เช่น เจ็บคอ ลิ้นแตก เหงือกบวม เป็นไข้ ร่วมด้วย หรือหายจากเป็นไข้ แล้วมีแผลร้อนในขึ้นมา
      บางท่านอาจคิดว่า แผลร้อนใน เกิดจากการกัดถูกกระพุ้งแก้มหรือลิ้นของตัวเอง แต่ความจริงแล้วเกิดจากร้อนใน
เพราะเมื่อร้อนใน กระพุ้งแก้มก็หนาตัวขึ้นหรือลิ้นจะมีการพองตัวมากขึ้น จึงไปกัดถูก ถ้าหากว่าเป็นแผลที่ไม่ได้มีอาการ
ร้อนใน เพียงแค่ 1-2 วันก็จะหายเป็นปกติ แต่เมื่อร่างกายร้อนใน แผลนั้นก็ไม่ค่อยหาย แล้วยังขยายใหญ่ขึ้นเป็นแผลร้อนใน
     ร้อนในมีหลากหลายอาการแล้วแต่ว่าจะเกิดกับอวัยวะส่วนไหน เช่น เส้นที่คอตึง ตกหมอน มีขี้ตา ตาแฉะ ระคายเคืองตา
บางครั้งน้ำตาไหลเอง หรือมีเม็ดที่ตาคล้ายตากุ้งยิง มีเสมหะ ไอ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ(Tonsillitis) ปากเป็นแผลร้อนใน
เหงือกบวม ลิ้นแตก ในปากมีตุ่มปูด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ท้องผูก อุจจาระแข็ง-ดำ (ระบบทางเดินอาหารไม่มีเลือดออก)
แต่บางครั้งก็ถ่ายเหลวและมีลม บางทีก็ร้อนในในหลายส่วนพร้อมกัน ทำให้มีหลายอาการพร้อมกัน
รวมถึงเป็นต้นเหตุของอาการไข้หวัด เพราะเมื่อร้อนใน ภูมิต้านทานก็ลดลง
อาการเหล่านี้แต่ละคนจะไว(Sensitive)ไม่เท่ากัน เนื่องจากดุลยธาตุ(อิน-หยาง)ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
การรักษาอาการร้อนใน แผลร้อนใน
  • ห้ามรับประทานยาบำรุง เช่น เขากวางอ่อน โสมคน(หยิ่งเซียม)   ยาที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น พริกไทย ดีปลี อบเชย(ชินนามอน)
  • งดอาหารที่ทอดน้ำมัน อาหารรสเผ็ด อาหารหวานจัด หรือขนมบางอย่างเช่น คุ้กกี้ ขนมกรอบๆ หรือเบียร์บางยี่ห้อ
    ผลไม้บางชนิด เช่น ลำไย ทุเรียน เงาะ ขนุน ลิ้นจี่ ละมุด มะม่วงสุก รวมถึงข้าวเหนียว
    (แต่ละคนไวต่ออาหารไม่เหมือนกัน)
  • สำหรับเด็กที่ดื่มนมชง ให้สังเกตนมชงด้วย เพราะนมแต่ละยี่ห้อ มีสูตรที่ไม่เหมือนกัน บางสูตรทำให้ร้อนใน
  • นอนหลับให้เต็มที่ ดื่มน้ำให้มากขึ้นในกรณีที่ดื่มน้ำน้อย
  • รักษาอาการร้อนในหรือแผลร้อนใน โดยการรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ ซึ่งแก้อาการร้อนในได้ดีมาก
    ถ้า รู้สึกว่าแผลร้อนในกำลังจะเกิดขึ้น หรือเริ่มมีอาการร้อนใน ให้รีบรับประทานยา จะทำให้แผลร้อนในไม่เกิดขึ้นมา หรืออาการร้อนในหายได้เร็ว
  • การรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ รับประทานเมื่อมีอาการร้อนใน เมื่อหายร้อนในก็หยุดรับประทาน สลับกันไปเรื่อยๆ
    ในระยะยาว จะทำให้อาการร้อนในเป็นน้อยลงหรือไม่เป็นขึ้นมา เพราะในยาแก้ไข้ ตรา เอ มีตัวยาที่เสริมอิน ทำให้
    ร่างกายผู้ที่พร่องอินได้สมดุล
อาการหวัดแบบร้อนใน หมายถึง
     อาการหวัดที่เริ่มต้นด้วยการร้อนใน เช่น เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้ ริมฝีปากแดง ลิ้นแดง
น้ำมูกไหล เป็นหวัด มีเสมหะ(เป็นสีเขียวก็ได้)
ตกหมอน
     เมื่อเกิดอาการตกหมอน ให้รับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ และ ยากษัยเส้น ตรา เอ โดยรับประทานชนิดใดก่อนก็ได้
อีกสักประมาณ 1 ชม. ก็รับประทานอีกชนิดตาม
คำแนะนำสำหรับการใช้ยาแก้ไข้ ตรา เอ
-งดอาหารที่ทำให้ร้อนในดังที่กล่าวมา
-ควรพักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานยาแต่เนิ่นๆ จะรักษาอาการร้อนใน หรือ แผลร้อนใน ให้หายได้เร็ว
-ผู้ใหญ่อายุ 12 ปีขึ้นไป รับประทานครั้งละ 2-4 เม็ด ถ้าเป็นไข้หนัก สามารถรับประทานครั้งละ 4 เม็ด ทุกๆ 3 ชั่วโมง
ถ้ามีแผลร้อนในมาก หรือมีอาการร้อนในหนัก รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และใช้เวลา
รักษานานกว่าปกติ(สามารถรับประทานติดต่อกันได้ ไม่อันตราย)
-เด็กอายุ 4-11 ขวบ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ถ้ากลืนยาไม่ได้ให้นำเม็ดยามาบดผสมน้ำผึ้งน้ำมะนาวแล้วกลืนและดื่มน้ำตาม
วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
-ยาแก้ไข้ ตรา เอ ไม่ทำให้ง่วงนอน และไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร(ไม่กัดกระเพาะอาหาร)
ยาเม็ดทุกตำรับ บรรจุในแผงอลูมิเนียมฟอยล์ (Strip pack)

ข้อดี คือ
  • ป้องกันความชื้นและเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่เม็ดยา
    โดยทั่วไปในบรรยากาศจะมีทั้งความชื้นและเชื้อจุลินทรีย์
    หากเป็นยาที่ใส่ขวด เมื่อเปิดขวดแล้ว ยาจะมีการปนเปื้อนของเชื้อ
    ความชื้นในบรรยากาศ ทำให้เชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโต
    ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดจะสร้างสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • พกพาสะดวก สำหรับผู้ที่ต้องเดินทาง
  • ป้องกันไม่ให้ยาเสื่อมคุณภาพจากแสงสว่าง
ยาเม็ดทุกตำรับ เป็นยาตอกเม็ด (Tablet)
ข้อดี คือ
  • ปราศจากวัตถุกันเสีย
    เนื่องจากยาที่บรรจุแคปซูล ส่วนของเปลือกแคปซูลทำมาจากเจลาติน
    ซึ่งเจลาตินก็ทำมาจากกระดูกหรือหนังสัตว์ จึงเป็นแหล่งอาหารของ
    เชื้อจุลินทรีย์   ดังนั้นผู้ผลิตเปลือกแคปซูลจำเป็นต้องใส่วัตถุกันเสีย และถ้าหากผู้ผลิตเปลือกแคปซูลใช้เจลาตินที่ไม่สะอาด ก็จะต้องใส่
    วัตถุกันเสียเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นอันตรายกับผู้บริโภค
  • ลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบางชนิด
    เนื่องจากเจลาตินทำมาจากกระดูกหรือหนังสัตว์ เช่น วัว หมู
    จึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อวัวบ้า และขัดกับหลักของผู้ที่รับประทานเจ หรือมังสวิรัติ

วิธีป้องกันแผลร้อนในในปาก

วิธีรักษา
ให้สังเกตอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นนมชง หรืออาหารเสริม
ควรกวาดปากเด็กเป็นระยะ สำหรับเด็กเล็ก

วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน

ร้อนในหรือแผลในปาก เชื่อว่าทุกคนคงเคยเป็นกัน เวลาเป็นแล้วจะเจ็บและรับประทานอะไรก็ลำบาก

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนในมาฝากกัน..

1. ระวังอย่าให้ท้องผูก เพราะร้อนในมักจะเป็นร่วมกับท้องผูก

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ร้อนใน เช่น ของทอด ของมันๆ ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย ข้าวเหนียวมะม่วง ฯลฯ อาหารพวกนี้กินแต่เพียงน้อยๆ อย่ากินมาก

3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระเทียม หอม ขิง ฯลฯ แต่พริกกินได้

4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดอารมณ์เครียด ความเครียดส่วนมากทำให้เป็นโรคนี้

5. รักษาความสะอาดในช่องปากอย่างเข้มงวด คือ แปรงฟันทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารแล้ว(ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังอาหาร)

6. ดื่มน้ำมากๆ วันหนึ่ง ๆ ให้ได้ 10 แก้วขึ้นไป

7. อย่าอดนอน

8. กินผักและผลไม้มากๆ

ยารักษาร้อนใน ยาแก้ไข้ ตรา เอ
เลขทะเบียนยาที่ G 611/48
สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน เช่น แผลร้อนใน เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ ลิ้นแตก เหงือกบวม ตกหมอน
ครั่นเนื้อตัว กระทั่งเป็นไข้ แก้อาการหวัดแบบร้อนใน รวมถึง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ
(เพราะถ้าร่างกายไม่ร้อนใน ก็ทำให้มีภูมิต้านทาน สามารถกำจัดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้)
ถ้าไม่เป็นไข้ แต่มีอาการร้อนในดังกล่าว ก็รับประทานได

แผลร้อนใน Aphthous ulcer แซชือ
     แผลร้อนในนั้นต่างกับแผลเริมที่ปาก โดยแผลเริมเกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus 1 (HSV-1)
(รักษาแผลเริมได้ด้วยการใช้ใบพญายอเพสลาด หมายถึง ใบที่ไม่อ่อนหรือไม่แก่ มาคั้นน้ำแล้วทาแผลเริมวันละ 4-5 ครั้ง)
     ส่วนแผลร้อนในนั้นเกิดจากภาวะการ พร่อง(ซึ่งจะกล่าวต่อไป) โดยแผลร้อนในเป็นแผลที่พบมากบริเวณริมฝีปากด้านใน หรือกระพุ้งแก้ม หรือเหงือก บางรายเกิดแผลร้อนในที่ลิ้น   แผลร้อนในจะเริ่มจากตุ่มเล็กๆ แล้วกลายเป็นวงและมีขนาด
ใหญ่ขึ้น ตรงกลางจะมีเยื่อสีขาวบางๆ ขอบจะบวมแดง และมีอาการปวด มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งนิ้ว บางรายเกิดขึ้นตำแหน่งเดียว บางรายเกิดหลายตำแหน่งพร้อมๆกัน บางรายแผลเก่ายังไม่ทันหายแผลใหม่ก็มาเกิด จะเจ็บมาก
เมื่ออาหารหรือลิ้นไปโดนถูก
     คนจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า "แซชือ" แต่ถ้ามีการปูดเป็นก้อนที่ด้านข้างของเหงือก เรียก "ผู่คีเปา" หรือบางครั้งตุ่มเล็กจะ
ไม่กลายเป็นแผลร้อนในแบบเปิด แต่จะปูดเป็นตุ่มใหญ่ขึ้นมาบริเวณใต้ริมฝีปากด้านใน หรือใต้ลิ้น ทำให้ตกใจ
ผู้ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากร้อนใน ก็จะไปพบแพทย์เพื่อผ่าตัดออก
สาเหตุของแผลร้อนใน     จริงๆแล้ว แผลร้อนใน ไม่ได้เกิดจากเชื้อใดๆ แต่แผลร้อนในหรืออาการร้อนในเกิดจากคนที่มี
ภาวะอิน(ยิน,หยิน)พร่อง แล้วมีพฤติกรรมที่ทำให้หยางแกร่ง เช่น รับประทานอาหารเผ็ด ของทอด-อบ-กรอบ ผลไม้บางชนิด
จึงเกิดความไม่สมดุลระหว่างอิน-หยาง ทำให้แสดงออกมาเป็นอาการร้อนใน  เมื่อร่วมกับการนอนดึก หรืออดนอน
ก็จะเกิดแผลร้อนใน บางรายอาจมีอาการร้อนในอื่นๆ เช่น เจ็บคอ ลิ้นแตก เหงือกบวม เป็นไข้ ร่วมด้วย หรือหายจากเป็นไข้ แล้วมีแผลร้อนในขึ้นมา
      บางท่านอาจคิดว่า แผลร้อนใน เกิดจากการกัดถูกกระพุ้งแก้มหรือลิ้นของตัวเอง แต่ความจริงแล้วเกิดจากร้อนใน
เพราะเมื่อร้อนใน กระพุ้งแก้มก็หนาตัวขึ้นหรือลิ้นจะมีการพองตัวมากขึ้น จึงไปกัดถูก ถ้าหากว่าเป็นแผลที่ไม่ได้มีอาการ
ร้อนใน เพียงแค่ 1-2 วันก็จะหายเป็นปกติ แต่เมื่อร่างกายร้อนใน แผลนั้นก็ไม่ค่อยหาย แล้วยังขยายใหญ่ขึ้นเป็นแผลร้อนใน
     ร้อนในมีหลากหลายอาการแล้วแต่ว่าจะเกิดกับอวัยวะส่วนไหน เช่น เส้นที่คอตึง ตกหมอน มีขี้ตา ตาแฉะ ระคายเคืองตา
บางครั้งน้ำตาไหลเอง หรือมีเม็ดที่ตาคล้ายตากุ้งยิง มีเสมหะ ไอ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ(Tonsillitis) ปากเป็นแผลร้อนใน
เหงือกบวม ลิ้นแตก ในปากมีตุ่มปูด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ท้องผูก อุจจาระแข็ง-ดำ (ระบบทางเดินอาหารไม่มีเลือดออก)
แต่บางครั้งก็ถ่ายเหลวและมีลม บางทีก็ร้อนในในหลายส่วนพร้อมกัน ทำให้มีหลายอาการพร้อมกัน
รวมถึงเป็นต้นเหตุของอาการไข้หวัด เพราะเมื่อร้อนใน ภูมิต้านทานก็ลดลง
อาการเหล่านี้แต่ละคนจะไว(Sensitive)ไม่เท่ากัน เนื่องจากดุลยธาตุ(อิน-หยาง)ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
การรักษาอาการร้อนใน แผลร้อนใน
  • ห้ามรับประทานยาบำรุง เช่น เขากวางอ่อน โสมคน(หยิ่งเซียม)   ยาที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น พริกไทย ดีปลี อบเชย(ชินนามอน)
  • งดอาหารที่ทอดน้ำมัน อาหารรสเผ็ด อาหารหวานจัด หรือขนมบางอย่างเช่น คุ้กกี้ ขนมกรอบๆ หรือเบียร์บางยี่ห้อ
    ผลไม้บางชนิด เช่น ลำไย ทุเรียน เงาะ ขนุน ลิ้นจี่ ละมุด มะม่วงสุก รวมถึงข้าวเหนียว
    (แต่ละคนไวต่ออาหารไม่เหมือนกัน)
  • สำหรับเด็กที่ดื่มนมชง ให้สังเกตนมชงด้วย เพราะนมแต่ละยี่ห้อ มีสูตรที่ไม่เหมือนกัน บางสูตรทำให้ร้อนใน
  • นอนหลับให้เต็มที่ ดื่มน้ำให้มากขึ้นในกรณีที่ดื่มน้ำน้อย
  • รักษาอาการร้อนในหรือแผลร้อนใน โดยการรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ ซึ่งแก้อาการร้อนในได้ดีมาก
    ถ้า รู้สึกว่าแผลร้อนในกำลังจะเกิดขึ้น หรือเริ่มมีอาการร้อนใน ให้รีบรับประทานยา จะทำให้แผลร้อนในไม่เกิดขึ้นมา หรืออาการร้อนในหายได้เร็ว
  • การรับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ รับประทานเมื่อมีอาการร้อนใน เมื่อหายร้อนในก็หยุดรับประทาน สลับกันไปเรื่อยๆ
    ในระยะยาว จะทำให้อาการร้อนในเป็นน้อยลงหรือไม่เป็นขึ้นมา เพราะในยาแก้ไข้ ตรา เอ มีตัวยาที่เสริมอิน ทำให้
    ร่างกายผู้ที่พร่องอินได้สมดุล
อาการหวัดแบบร้อนใน หมายถึง
     อาการหวัดที่เริ่มต้นด้วยการร้อนใน เช่น เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้ ริมฝีปากแดง ลิ้นแดง
น้ำมูกไหล เป็นหวัด มีเสมหะ(เป็นสีเขียวก็ได้)
ตกหมอน
     เมื่อเกิดอาการตกหมอน ให้รับประทานยาแก้ไข้ ตรา เอ และ ยากษัยเส้น ตรา เอ โดยรับประทานชนิดใดก่อนก็ได้
อีกสักประมาณ 1 ชม. ก็รับประทานอีกชนิดตาม
คำแนะนำสำหรับการใช้ยาแก้ไข้ ตรา เอ
-งดอาหารที่ทำให้ร้อนในดังที่กล่าวมา
-ควรพักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานยาแต่เนิ่นๆ จะรักษาอาการร้อนใน หรือ แผลร้อนใน ให้หายได้เร็ว
-ผู้ใหญ่อายุ 12 ปีขึ้นไป รับประทานครั้งละ 2-4 เม็ด ถ้าเป็นไข้หนัก สามารถรับประทานครั้งละ 4 เม็ด ทุกๆ 3 ชั่วโมง
ถ้ามีแผลร้อนในมาก หรือมีอาการร้อนในหนัก รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และใช้เวลา
รักษานานกว่าปกติ(สามารถรับประทานติดต่อกันได้ ไม่อันตราย)
-เด็กอายุ 4-11 ขวบ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ถ้ากลืนยาไม่ได้ให้นำเม็ดยามาบดผสมน้ำผึ้งน้ำมะนาวแล้วกลืนและดื่มน้ำตาม
วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
-ยาแก้ไข้ ตรา เอ ไม่ทำให้ง่วงนอน และไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร(ไม่กัดกระเพาะอาหาร)
ยาเม็ดทุกตำรับ บรรจุในแผงอลูมิเนียมฟอยล์ (Strip pack)

ข้อดี คือ
  • ป้องกันความชื้นและเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่เม็ดยา
    โดยทั่วไปในบรรยากาศจะมีทั้งความชื้นและเชื้อจุลินทรีย์
    หากเป็นยาที่ใส่ขวด เมื่อเปิดขวดแล้ว ยาจะมีการปนเปื้อนของเชื้อ
    ความชื้นในบรรยากาศ ทำให้เชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโต
    ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดจะสร้างสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • พกพาสะดวก สำหรับผู้ที่ต้องเดินทาง
  • ป้องกันไม่ให้ยาเสื่อมคุณภาพจากแสงสว่าง
ยาเม็ดทุกตำรับ เป็นยาตอกเม็ด (Tablet)
ข้อดี คือ
  • ปราศจากวัตถุกันเสีย
    เนื่องจากยาที่บรรจุแคปซูล ส่วนของเปลือกแคปซูลทำมาจากเจลาติน
    ซึ่งเจลาตินก็ทำมาจากกระดูกหรือหนังสัตว์ จึงเป็นแหล่งอาหารของ
    เชื้อจุลินทรีย์   ดังนั้นผู้ผลิตเปลือกแคปซูลจำเป็นต้องใส่วัตถุกันเสีย และถ้าหากผู้ผลิตเปลือกแคปซูลใช้เจลาตินที่ไม่สะอาด ก็จะต้องใส่
    วัตถุกันเสียเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นอันตรายกับผู้บริโภค
  • ลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบางชนิด
    เนื่องจากเจลาตินทำมาจากกระดูกหรือหนังสัตว์ เช่น วัว หมู
    จึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อวัวบ้า และขัดกับหลักของผู้ที่รับประทานเจ หรือมังสวิรัติ

100 เคล็ดลับประจำบ้าน (ภาค 3)

100 เคล็ดลับประจำบ้าน (ภาค 3)
67. วิธี ทำความสะอาด คราบเหลือง ที่ติดตาม ภาชนะ เคลือบสีขาวมีวิธีทำคือ ใช้ น้ำมันพาราฟิน ถูรอยสกปรก น้ำมัน พาราฟิน จะช่วย ขจัด คราบสกปรก คราบเหลือง ของ ภาชนะเคลือบขาว ได้
68. วิธีทำความสะอาด ผลองุ่นที่มีคราบขาวๆ ของยาติดอยู่ โดยไม่ทำให้ผลองุ่นช้ำ ให้นำยาสีฟัน บีบใส่ในอ่างน้ำสัก 1-2 ช้อน ตีให้ขึ้นฟอง นำองุ่นลงไปล้าง เบาๆ แล้วแช่ทิ้งไว้สัก 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ผลองุ่นที่สวยน่ารับประทาน
69. วิธีขจัด รอยเปื้อน บน ผ้าปูโต๊ะ ให้สะอาดคือ ให้โรย เกลือป่น ตรงรอยเปื้อน ใช้น้ำ ร้อนราด แล้วนำไปแช่ใน น้ำนมสด ต้มด้วยไฟอ่อนๆแล้วจึงนำไปซักรอยที่เปื้อน
70. วิธี ทำความสะอาด โป๊ะไฟ โคมไฟในส่วนที่ทำความสะอาดยากเช่น รอยจีบซอกเล็ก ซอกน้อย ให้ใช้ เครื่องเป่าผม เป่าลมไปตามที่มีฝุ่นละอองจับ แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าชุบ น้ำยาล้างจาน เช็ดตามด้วยผ้าสะอาดเช็ดอีกครั้ง เพียงเท่านี้โคมไฟที่ว่าหมองจะ ใหม่สะอาดทันที 
71. วิธี ทำความสะอาด ผ้าม่านพลาสติก ควรซักด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าที่ผสม น้ำอุ่น แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้ ตากลม ดีกว่า ตากแดด เพราะจะไม่ทำให้ผ้าม่านสี จืดจางลงไป
72. วิธี การทำความสะอาดกระจกเงา ส่องหน้าให้ใสคือ นำยาสีฟัน มาบีบใส่ไว้บน กระจก แล้วเอากระดาษหนังสือพิมพ์ ชุบน้ำมา เช็ดยาสีฟันที่บีบทิ้งไว้บนกระจก โดยถูให้ทั่วๆ กระจก แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง กระจกเงา ที่หมอง จะดูเงางาม เป็นประกายทันที
73. วิธีทำความสะอาดคราบ น้ำมัน บน พื้นปูนซีเมนต์ ให้สะอาดเอี่ยมคือหา ขี้เถ้า ที่อยู่ใน เตาถ่าน มาโรยไว้บน คราบน้ำมัน ที่เปื้อนพื้นปูนซีเมนต์ให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ล้างออก ด้วยน้ำให้สะอาด ขี้เถ้าก็จะดูดคราบน้ำมันออกไปจนหมดเกลี้ยง
74. วิธี ทำความสะอาดรอยดินสอหรือดินสอเทียนที่ติดบน วอลล์เปเปอร์ คือ ให้ใช้ เครื่องเป่าผมโดยใช้ลมร้อนจี้ตรงบริเวณนั้น แล้วหาผ้าฝ้ายชุบน้ำสบู่บิดให้ หมาด นำมาเช็ดถูตรงรอยเปื้อน รอยของสีนั้นก็จะจางหายไป
75. วิธี ทำความสะอาด คราบตะกอน ที่ติด ฝักบัวอาบ น้ำคือ สำหรับแบบที่ไม่สามารถ ถอดออกได้ ให้หาถุงพลาสติกใส่น้ำส้มสายชูพอประมาณ เอา ฝักบัว ใส่ในถุงน้ำส้มสายชู แล้วผูกถุงให้แน่น ทิ้งไว้สักหนึ่งคืน นำออกมาล้างด้วยน้ำสะอาด หัวฝักบัว ก็จะสะอาดและปราศจาก คราบของตะกอน ทำให้น้ำไหลสะดวกขึ้น
76. วิธีทำความสะอาด สี ที่เปื้อนหน้าต่างผลมาจากการทาบ้าน ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสม น้ำเปล่า อัตราส่วน 2 : 1 ตั้งไฟให้ร้อนจัด ใช้ แปรงทาสี ที่สะอาดจุ่มส่วนผสมที่ยังร้อนอยู่ถูตรงบริเวณรอยเปื้อน รอยเปื้อน ดังกล่าวจะหลุดออกได้เอง
77. สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงเป็นขี้เรื้อน ลองเอาผงกำมะถัน ผสมน้ำมันเครื่องใช้แล้ว มาทาตรงที่เป็นขี้เรื้อน บ่อยๆ ขี้เรื้อนจะหายไปเอง
78. วิธี ทำความสะอาดพื้น ที่ทำด้วย ไวนิล ให้สะอาดหมดจดมีวิธีทำง่ายๆ คือ นำน้ำอุ่น ผสมกับน้ำส้มสายชูในอัตราส่วนเท่าๆ กัน แล้วนำมาล้าง พื้นไวนีล เช็ดให้แห้ง พื้น ก็จะสะอาดสดใสทีเดียว
79. วิธี ทำความสะอาดคราบน้ำมัน ที่ติดอยู่บน วอลล์เปเปอร์ ใช้ แป้งฝุ่น ผสม น้ำยาทำความสะอาด แล้วนำมาป้ายตรงจุดที่สกปรก ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง ใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดออก คราบน้ำมัน ก็จะติดออกมาด้วย
80. วิธีทำความสะอาดพรม ที่ เปื้อนคราบน้ำมัน ให้เท เบกกิ้งโซดา ลงตรงบริเวณที่ เปื้อน คราบน้ำมัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดตรง รอยเปื้อนน้ำมัน นั้น คราบ ก็จะจางหายไป
81. วิธี ทำความสะอาดคราบสกปรกที่เปื้อน กระเบื้องเคลือบ ให้ใช้ส่วนผสมของ ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และ ครีมออฟทาร์ทาร์ อย่างละเท่ากัน ทาให้ทั่วแล้วล้าง ออกตามปกติ จะทำให้คราบสกปรกนั้นหายไป
82. วิธีทำความสะอาดคราบสนิม ออกจาก ถัง ทำได้โดยใช้น้ำมะนาวใส่ลงไปในบริเวณ ที่เป็นสนิม ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วล้างออกคราบสนิมก็จะหลุดออกไปด้วย
83. วิธีทำความสะอาด พื้นโรงรถ ที่ เปื้อนน้ำมันเครื่อง ให้โรยด้วย ทราย ทิ้งไว้ 1 คืน กวาด ทรายออกไป คราบน้ำมัน ก็จะหลุดออกไปด้วยกับทรายนั่นเอง
84. วิธีทำความสะอาด ตู้ปลา ที่มีคราบตะกรันเกาะอยู่ ให้ใช้น้ำส้มสายชู ถูขัดออก แล้วจึงล้างให้สะอาด กระจกตู้ปลา จะใสเหมือนเดิม
85. วิธีทำความสะอาด เปียโน ควรใช้ แวกซี่ ทำความสะอาดดีที่สุดเพราะสารทำความสะอาด อย่างอื่นอาจจะทำให้ไม้โค้งงอได้
86. วิธี ทำความสะอาด เครื่อง ถ้วยชามคริสตัล ให้ดูเป็นประกายเงางาม ให้ใช้ ผ้าหนังสัตว์ เช็ด ผ้าผนังสัตว์ จะกำจัดฝุ่นผง และคราบน้ำออกได้ง่ายกว่าผ้าชนิดอื่นๆ
87. วิธี ทำความสะอาด คราบเทียนไข ที่ติดแน่นออกจาก เชิงเทียน มีวิธีทำง่ายๆ คือ ใส่ เชิงเทียน ในช่องแช่แข็งทิ้งไว้สักครู่ จะสามารถเอา คราบเทียน ออกได้ง่ายและหมดจดทีเดียว
88. วิธีทำความสะอาด ทัปเปอร์แวร์ ให้หมดกลิ่นอับคือ ให้ผสม วานิลลาสกัด 2 ช้อนโต๊ะกับ น้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง แล้วใช้ผ้าชุบเช็ดให้ทั่ว กลิ่นอับ ต่างๆ จะจางหายไป
89. ต้อง การให้ดอกไม้ที่เสียบไว้ในแจกัน อยู่ได้นานเป็นสัปดาห์ ให้ใส่น้ำตาลทรายลงไปในน้ำที่แช่ดอกไม้อยู่ ดอกไม้เสียบไว้สามารถอยู่ได้นานเป็นสัปดาห์
90. วิธีทำความสะอาดผ้าม่าน ทำได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำจากป้ายที่ติดมากับผ้า ม่าน แล้วจุ่มลงไปในอ่างน้ำอุ่นที่ผสมกับเกลือ 1 ถ้วย แล้วแขวน ผ้าม่าน ให้แห้ง โดยแผ่ให้หมดเนื้อผ้า จะทำให้ผ้าม่านสะอาดและไม่ยับอีกด้วย
91. วิธี การทำความสะอาดตู้ปลา หรือ อ่างปลา ทุกครั้ง อย่าลืมใช้ฟองน้ำชุบ เกลือป่น เช็ดถูให้ทั่วด้วย เพราะเกลือ จะช่วย ฆ่าเชื้อโรค ที่ติดอยู่ในตู้หรืออ่างปลา และทำให้ ตู้ปลา สะอาดหมดจด อีกด้วย
92. ไม่อยู่บ้านนานเป็นสัปดาห์ กลัวว่าต้นไม้ที่ปลูกไว้ในกระถางจะตาย ให้เอาขวดน้ำอัดลม เช่น ขวดโค๊ก 1.25 ลิตร ใส่น้ำให้เต็ม แล้วกลับหัวปักลงในกระถางต้นไม้ น้ำที่อยู่ในขวดจะค่อยๆ ลดลง ที่ละน้อยเพียงพอกับความต้องการของต้นไม้ อยู่ได้นานเป็นสัปดาห์
93. วิธีการทำความสะอาด กรอบรูปที่ปิดทอง ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดฝุ่นให้ออกก็พอแล้ว เพราะ ถ้าใช้ผ้าชุบน้ำจะทำให้ทองที่ปิดอยู่ลอกออกหมด
94. วิธี ทำความสะอาด คราบเชื้อรา ที่ติดอยู่บน หนังสัตว์ ที่ประดับตกแต่งบ้านเรือน ให้ใช้ผ้านุ่มๆ จุ่ม แอลกอฮอลล์ ผสมน้ำเช็ดให้ทั่วแล้วตากไว้ในที่ร่ม รอยเปื้อนคราบนหนังสัตว์จะหายไป
95. วิธี ทำความสะอาด คราบเขม่า หรือ คราบควันไฟ ที่ติดอยู่หน้า เตาไฟ ให้ใช้ผ้าชุบ น้ำส้มสายชู ที่ต้มพอร้อน เช็ดถูตามคราบเปื้อนให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกครั้ง คราบสกปรก นั้น ๆ ก็จะออกไป
96. วิธีขจัด กลิ่น ลูกเหม็น ที่ติดเสื้อผ้า มีวิธีทำง่ายๆ คือ นำเสื้อนั้นไปพรมน้ำให้แค่ชุ่มพอ แล้วนำเสื้อไปแขวนไว้ในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพียงชั่วข้ามคืนเดียว กลิ่นลูกเหม็น ที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าก็จะจางหายไปหมด
97. วิธี ทำความสะอาด คนโทแก้ว ที่เอามือล้วงลงไปทำความสะอาดยากให้ทุบ เปลือกไข่ ใส่ลง ไป แล้วกรอกน้ำส้มสายชูตามลงไปเล็กน้อยเขย่าขวดแล้วแช่ทิ้งไว้สักครู่ เทเปลือกไข่ ออก ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกที คนโท แก้ว จะมองดูสะอาดหมดจดแล้วยังปราศจากกลิ่นอีกด้วย
98. วิธีทำความสะอาด กะละมัง ที่เปื้อนคราบ ด่างทับทิม ให้ใช้ เปลือกมะนาวเช็ด เพราะ เปลือก มะนาว จะดูดและดึงคราบสีของด่างทับทิมออกไป
99. วิธี ทำความสะอาดรอยเปื้อนบน โทรศัพท์ ที่มีสีขาว มีวิธีง่ายๆคือ ใช้ผ้าชุบ น้ำยาล้างเล็บ เช็ดถู ให้ทั่วคราบฝุ่นและรอยเปื้อนต่างๆ ก็จะหายไป
100. วิธีการขจัด ขนสุนัข ออกจากพรม มีวิธีทำง่ายๆ คือ ใช้ ฟองน้ำ ชุบน้ำบิดพอหมาดๆ มาซับ จะสามารถซับขนสุนัขออกได้โดยง่าย

100 เคล็ดลับประจำบ้าน (ภาค 1)

1. โรง รถหรือห้องเก็บของ มีกลิ่นอับ มาก จะขจัดกลิ่นออกได้โดยโรยหญ้าที่เพิ่งตัดมาใหม่ ๆ ลงบนพื้น แล้วปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง ต้นหญ้าจะดูดเอากลิ่นอับในโรงรถห้องเก็บของออกไปจนหมด
2. ป้องกัน ฟันผุ ลดกลิ่นปาก ก่อนจะแปรงฟันทุกครั้ง เพียงแตะยาสีฟันที่ใช้อยู่กับเกลือแกง(เม็ดละเอียด จะได้ไม่ถูกเกล็ดเกลือบาด) แล้วแปรงฟันตามปกติ เพียงเท่านี้ ปัญหาเหงือก และฟันผุจะหมดไป
3. วิธีทำให้ กรอบกระจกเงา หรือ กรอบกระจก รูปภาพ มองดูใหม่เสมอ ทำได้โดยการใช้ผ้าชุบ น้ำมันสน แล้วทาบริเวณกรอบไม้ รอจนแห้งสนิท กรอบจะมองดูใหม่ทันที
4. วิธีล้างคราบสกปรกที่ แก้วเจียระไน ทำง่าย ๆ คือหา เปลือกฝรั่ง ใส่ลงไปในแก้วเจียระไน แช่ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้แก้วจะดูใสสะอาด
5. วิธี ทำความสะอาด เครื่องเคลือบ ที่ทำด้วย ทองเหลือง มีวิธีการทำง่ายๆ คือนำเอา หัวหอม มาต้มในน้ำเดือด แล้วนำมาขัดลงบนเครื่องเคลือบเพียงเท่านี้ เครื่องเคลือบ จะมองดู ใหม่สะอาดหมดจดทีเดียว
6. วิธี การ ขจัด คราบไขมัน ที่ติดรอบท่อ อ่างล้างจาน ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะเป็นเหตุให้ ท่ออุดตัน ได้ มีวิธีทำคือ นำ เกลือแกง ใส่ลงไปในท่อ 2-3 ช้อน จากนั้นนำ เบกกิ้งโซดา หรือ ผงฟู ต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลงไป ไขมัน ที่ อุดตัน ก็จะหลุดออกไปหมด
7. วิธีขจัด พวก มด แมลง มาขึ้นถังขยะทำได้ง่ายๆ โดยหยด แอมโมเนีย ลงข้างๆ ถังขยะ สักเล็กน้อย กลิ่น แอมโมเนีย จะทำให้ มด แมลง ไม่กล้าเข้ามาใกล้ถังขยะอีก
8. การ รักษา เครื่องมือทำสวน ที่เป็นโลหะไม่ให้ ผุกร่อน ได้ง่ายมี วิธีการรักษา โดยใช้ วาสลิน ทาผิวของโลหะทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จแล้ว และนำมาทำความสะอาดอีกครั้ง
9. ใช้ใบ น้อยหน่า มาขยี้ให้ละเอียด ผสมน้ำ แล้วชโลมให้ทั่วศีรษะ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเหา ในเด็กได้ หรือจะนำมาชโลมตัวสัตว์เลี้ยง เช่นสุนัข แมว ก็จะช่วยไล่เห็บ หมัดได้ดี
10. วิธีดับ กลิ่นเหม็น ใน ถังขยะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้านหรือในบ้านให้หมดกลิ่นได้ทำได้โดยใส่ เปลือกมะนาว หรือเปลือกส้ม เขียวหวาน ส้มโอ ก็ได้ใส่ลงไปใน ถังขยะ กลิ่นส้ม จะไปลด กลิ่น ลงทำให้มีกลิ่นน้อยลง
11. การ ขัด รอยแมลงวัน บนกระจกมีเคล็บลัดคือ ใช้ผง กาแฟคั่ว หนึ่งช้อนผสมกับ น้ำมันก๊าด หนึ่งลิตร และใช้เศษผ้าชุบเช็ด กระจก รอยแมลงวัน ก็จะหมดไป
12. หาก ต้องการ ทาสีห้องใหม่ แต่กลัวว่าห้องจะมีแต่กลิ่นเหม็นของสี อยู่หลายวันมี วิธีขจัดกลิ่นเหม็น ของ สี คือก่อนจะ ทาสี ให้ผสมน้ำ วานิลลา 1 ช้อนชาต่อสี 1 แกลลอน คนให้เข้ากันแล้ว จึงนำไปทาห้อง สีที่ ทาใหม่จะ ไม่มีกลิ่นเหม็น เป็นเด็ดขาด
13. วิธีการป้องกัน ไม่ให้ถุงใน เครื่องดูดฝุ่น โดนแมลงกัดเป็นรูคือ นำ การบูร หรือ ลูกเหม็น ใส่เข้าไปใน ถุงดูดฝุ่น สัก 1 ก้อน นอกจากป้องกัน แมลง แล้วยังป้องกัน กลิ่นอับ อีกด้วย
14. แก้ ปัญหา ยุง ไปไข่ทิ้งไว้ในแท็งก์ภาชนะน้ำกิน ทำให้มี ลูกน้ำ ว่ายวนอยู่ในแท็ง มีวิธีทำคือ นำ อิฐแดง ๆ ที่ใช้ในการก่อสร้างมาเผาไฟให้ร้อน ๆ แล้วเอาใส่ลงไปในแท็งก์น้ำทันที เพียงเท่านี้ยุงจะไม่กล้าเข้าไปไข่ทิ้งไว้อีกเลย
15. วิธี กำจัด ต้นหญ้า ที่ขึ้นไม่ถูกที่ แต่ให้ปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยง ทำได้โดยใช้ เกลือ โรยตรงส่วนที่ต้นหญ้าขึ้น เหตุเพราะเกลือจะไปทำให้ดินตรงที่ต้นหญ้าขึ้นอยู่เค็มจึงทำให้ต้นหญ้าตายใน ที่สุด
16. น้ำประปา ที่มี กลิ่น คลอรีน แรงมากมี วิธีกำจัดกลิ่น ให้หมดไปโดยฝานมะนาวบางๆ ลงไปในน้ำ มะนาวจะช่วยดูดกลิ่น คลอรีน ให้หมดไป และทำให้น้ำดื่มได้อีกด้วย
17. ขอบ ยางประตูตู้เย็น มี รา ขึ้น จะมีวิธีลบราออกได้โดยใช้ผ้าชุบ น้ำส้มสายชู แล้วนำ ไปถูตรง ขอบยางประตู ตู้เย็น ที่เป็นรา ราก็ออกไปได้โดยง่ายดาย
18. ขจัด ปัญหา หมา แมว ฉี่และอุจจาระไม่เลือกที่ทำได้โดยการโรย พริกไทยป่น ลงไป บนที่มันเคย ฉี่ หรือ อุจจาระ ไว้ เพียงเท่านี้หมา แมวก็จะดมกลิ่นหาที่ที่มันเคยฉี่และ อุจจาระไม่เจอ เหตุเพราะ พริกไทย ป่นจะไปดับกลิ่นหมด ทางที่ดีควรสอนให้มันฉี่และอุจจาระ ในห้องน้ำ หรือบนกระดาษที่เราควรจะวางไว้ให้จนเคยชิน
19. การ รักษา ไม้กวาดดอกหญ้า ที่ซื้อมาใหม่ให้ใช้ไปได้นาน ๆ ทำได้โดยการจุ่ม ไม้กวาด ดอกหญ้า ใน น้ำเกลือ ร้อนๆ ขนของไม้กวาดจะเกาะตัวกันเวลาใช้จะทนทานไม่ขาดง่าย
20. ตะปู ที่ตอกไว้ข้างฝาคอนกรีตสำหรับแขวนรูปหลวม มีวิธีแก้ไขง่ายๆ คือ ใช้ สำลี พันตะปูชุบ กาว และตอกเข้าไปใหม่ กาวที่สำลีจะยึดติดกันแน่น
21. วิธี การขจัด กลิ่นเหม็นสาป ที่ติดอยู่ในกระติกน้ำแข็งทำได้โดยนำ เบกกิ้งโซดา มาผสม กับ น้ำร้อน และนำมาล้างถูกระติกน้ำให้ทั่ว แล้วล้างน้ำอีกครั้ง กลิ่นสาป ก็จะหายไป
22. ถูกมด แมลง ยุงกัน นำเอาปูนแดง(ที่ใช้กินกับหมาก) มาทา จะใช้ให้หายปวด หายคันอย่างรวดเร็ว เพราะปูนแดงจะไปทำลายของพิษแมลง ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด
23. ขจัดปัญหา กลิ่นส้วม เหม็นคละคลุ้งไปทั่วบ้านคือใช้น้ำมันก๊าด ประมาณ 1 ขวดใหญ่ มาเทราดลงไปในคอห่านแล้วเทน้ำตามลงไปเพื่อขจัดกลิ่นน้ำมันก๊าดให้หมด
24. วิธี ป้องกันหมาแมวตัวโปรดมากัดแทะ เฟอร์นิเจอร์ ในบ้านคือใช้ น้ำมันยูคาลิปตัส หรือน้ำมันที่มีกลิ่นฉุนทาที่เฟอร์นิเจอร์ กลิ่นฉุนนั้นจะทำให้มันไม่กล้าเข้ามากัดแทะอีก
25. วิธีขจัดรอยเปื้อน ด่างดำบนเครื่องใช้ที่เป็นหนังคือ หยด น้ำมันสลัด สัก2-3 หยด ในน้ำสบู่ แล้วใช้แปรงจุ่มน้ำที่ผสมไว้มาถู จากนั้นจึงซักในน้ำ สบู่ ธรรมดาอีกครั้ง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ต่อด้วยเช็ดให้แห้งผึ่งลมไว้
26. วิธี การดึง สติกเกอร์ ที่ติดอยู่บนฝาห้องออกโดยไม่ทิ้ง คราบกาว ไว้ที่ฝาทำได้โดยใช้ น้ำมันพืช มาทาบน รูปสติกเกอร์ แล้วจึงค่อยๆ ดึงออกมา
27. เสื้อผ้าที่มีกลิ่นอับ ซักกี่หนก็ไม่หาย ให้ใส่ EM ประมาณ 2 ฝา(ต่อผ้า 10 ชิ้น) แช่ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วก็เดินเครื่องซักผ้า ตามปกติ จะทำให้กลิ่นอับหายไป
28. การ ทำให้ ตู้เสื้อผ้า ของคุณหอมได้โดยที่ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อมาใส่ เพียงแต่คุณใช้เศษสบู่ที่จะทิ้งแล้วไปวางไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของ ตู้ กลิ่นสบู่นั้นก็จะหอมไปทั่วตู้เลย
29. วิธีทำความสะอาด ภาชนะอลูมิเนียม ให้ใสสะอาดเหมือนใหม่คือนำเอา เปลือกแอปเปิ้ล ต้ม 2-3 นาที แล้วใช้น้ำ ขัด ถู ภาชนะ อะลูมิเนียม ก็จะดูเงาวามเหมือนใหม่
30. วิธี การใช้ เตาอบ ให้ใหม่อยู่เสมอคือ หลังจากใช้เตาอบแล้วควรเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง และทำใน ขณะที่เตายังอุ่น ๆ อยู่ เพราะจะเช็ดได้ง่ายกว่าในขณะที่เย็นแล้ว
31. วิธีขจัดรอยคราบ เหนียวบนผนังตู้เย็นคือ ใช้ น้ำมันพืช ผสม EM เทลงบนกระดาษเช็ดทิชชู่ แล้ว ถูจนสะอาด ทำสัก 2-3 ครั้ง
32. วิธีขจัดกลิ่นเหม็น ของท่อระบายน้ำล้างจาน ให้หอมสดชื่นได้คือเท เบกกิ้งโซดา 1 ถ้วย ลงไปในท่อระบายน้ำทิ้งไว้ 5 นาที เทน้ำ ส้มสายชู ตามลงไปอีก 1 ถ้วย จะขจัด กลิ่นเหม็น ได้ดีจริงๆ
33. ในการใช้ยาขัดเฟอร์นิเจอร์ไม่ควรใช้ประเภท เช่น น้ำมัน ขี้ผึ้ง บ่อย ๆ เพราะอาจจะทำให้ผิวเฟอร์นิเจอร์เกิดความเสียหายได้ง่าย

100 เคล็ดลับประจำบ้าน (ภาค 2)

100 เคล็ดลับประจำบ้าน (ภาค 2)
34. ใน การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ ที่เป็น ผ้าฝ้าย ให้ใช้ แปรงทาสี ด้ามใหม่ปัดตาม ซอกมุมเฟอร์นิเจอร์ไปพร้อมกันกับการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ทุกครั้ง
35. การ ทำความสะอาด ในซอกเล็กซอกน้อยของโคมไฟ ให้ใช้ เครื่องเป่าผม เป่าลมไปตาม ที่มีฝุ่นละอองจับแล้วเช็ดถูทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำอีกครั้ง โคมไฟก็จะดูใหม่เสมอ
36. วิธีลบคราบดวงๆ ที่ติดบนเฟอร์นิเจอร์คือ ให้ใช้ จุกไม้ก๊อกถู ถ้าไม่ออกให้ใช้นิ้วมือแตะ ยาสีฟัน ผสมขี้เถ้าบูหรี่ถูอีกครั้ง จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรอยเปื้อนซ้ำอีกครั้ง
37. การ ทำความสะอาด พื้นกระเบื้องยาง คือ ใช้ แปรงสีฟัน ชุบ ยาสีฟัน แล้วนำไปขัดถูบริเวณรอยเปื้อนให้แรงๆ จะทำให้ รอยเปื้อน หลุดออกไปได้โดยง่าย
38. วิธีการตอกฝาผนัง ตะปู โดยไม่ให้งอคือ ให้ทาปลายตะปูด้วยน้ำส้มสายชูหรือน้ำมันพืช ก่อนที่จะนำมาตอกฝาผนังจะตอกได้คล่องและไม่งอจริงๆ
39. วิธี การขัดหน้า และบำรุงหน้าแบบง่ายๆ นำเอาน้ำมะนาวสด น้ำมันมะกอก และเกลือทะเล เม็ดละเอียด มาผสมเข้าด้วยกัน ขัดถูกให้ทั่วใบหน้า ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำ ใบหน้าจะสวยผุดผ่อง
40. วิธีแก้ปัญหาเฟอร์นิเจอร์ไม้โป่ง ออกมาคือ ให้วางผ้าชื้น ๆ ลงบนรอยที่โป่ง ใช้ เตารีด ร้อน ๆ ทับบนผ้า จะทำให้คืนสู่สภาพเดิม
41. วิธีขจัด รอยขีดข่วน บน เฟอร์นิเจอร์ไม้ คือ ให้ใช้ผ้าแตะยาขัดรองเท้าที่สีเดียวกับไม้ แล้วถูตรงรอยแล้ว ใช้ผ้าขัดต่ออีกครั้ง รอยขีดข่วน ก็จะหายไป
42. วิธี การแก้ปัญหา เก้าอี้หวาย หย่อนคือ ถ้าอยากให้ตึงให้ล้างเก้าอี้หวายด้วย น้ำสบู่ ร้อนๆ แล้วล้างน้ำสบู่ออก นำออกตากแดดกลางแจ้งให้แห้ง หวาย ที่หย่อนจะตึงเหมือนเดิม
43. วิธีการทำความสะอาด พื้นบ้านไม้ให้เงางามอยู่เสมอคือ ให้ผสม น้ำส้มสายชู ครึ่งถ้วยต่อน้ำ 8 ลิตร จะช่วยขจัดเศษ ฝุ่นละออง และพื้นก็เป็นเงางามอีกด้วย
44. การ รักษา เฟอร์นิเจอร์โลหะ ไม่ให้เป็น สนิม ได้ง่ายคือให้ เคลือบ โลหะ ด้วย ขี้ผึ้งขัดรถ เมื่อจำเป็นต้องเอาเฟอร์นิเจอร์โลหะไว้ตากน้ำค้าง จะได้ไม่ขึ้นสนิมได้ง่าย
45. วิธี การติดรูป โปสเตอร์บนกำแพงโดยไร้ร่องรอยเมื่อดึงภาพออกคือให้ใช้ ยาสีฟัน แทนกาวในขณะที่ติดรูป เมื่อถึงเวลาดึงรูปออก ก็เพียงแค่ขัดยาสีฟันที่แห้งออกเท่านั้น ฝาผนังก็สะอาดแล้ว
46. ป้องกัน งู หรือสัตว์ร้าย จำพวก แมงป่อง ตะขาบเข้าบ้าน โดยใช้ผงกำมะถัน มาโรยรอบบริเวณ จะทำให้สัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่มาเข้าใกล้ หรือเลี้ยงสุนัขไว้แทนก็ได้
47. วิธีแก้ ปัญหา หน้าต่าง ปิดและเปิดออกได้ยากคือ ให้เอา น้ำมันเครื่อง หยอดตรง รางอลูมิเนียม ให้ทั่วเพียงเท่านี้ก็จะทำให้เปิดและปิด ได้ง่ายขึ้นกว่าเก่า
48. วิธี ป้องกันไม่ให้ มด ขึ้น ตู้กับข้าว คือ ใช้เศษผ้าหรือเชือกที่เป็นผ้าไปชุบน้ำมันเครื่อง แล้วบิดพอหมาด นำไปผูกไว้ที่ขาตู้กับข้าวทั้งสี่ขา มดก็จะไม่กล้าขึ้นแน่นอน
49. วิธี การไล่ยุง แบบง่าย ๆ คือ หา การบูร มาห่อด้วยผ้าแล้วมัดไว้กับหลอดไฟฟ้าที่อยู่ภายใน บ้าน ความร้อนของไฟฟ้าจะทำให้การบูร ระเหย ออกไป และกลิ่นของการบูรจะช่วย ป้องกันยุง ไม่ให้มา รบกวน
50. วิธีการไล่ หนู แบบง่ายๆ และประหยัดเงินคือ นำ ไม้ยี่โถ ไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง เสร็จแล้วนำไปโรยตามซอกที่หนูชอบอยู่ เพียงเท่านี้หนูก็พากันขนย้ายครอบครัวหนีออกไปจากบ้านของคุณไปเลย
51. วิธี การกำจัดปลวก ที่ขึ้นบ้านแบบประหยัดคือนำน้ำมันเครื่อง ที่ใช้แล้วมาราดให้รอบ บริเวณบ้าน เพียงเท่านี้ก็จะสามารถไล่ปลวกไม่ให้มารบกวนบ้านอีกต่อไป
52. การ ขัดพื้นกระดาน ให้เงาแบบโบราณคือ หา มะพร้าว มาผ่าครึ่ง ทุบกะลาตรงปากออก สักเล็กน้อย แล้วนำมาคว่ำลงกับพื้นกระดานขัดถูพื้นบ่อยๆ พื้นกระดาน จะมองดูเงางามเชียวแหละ
53. โฟม สามารถใช้เป็นประโยชน์ได้หลายอย่างเช่น ใช้ทำเป็นกาว อุดรอยรั่ว ของภาชนะได้เป็นอย่างดีคือ ก่อนนำมาใช้จะต้องเอาเศษโฟมหักเป็นชิ้นเล็ก แช่ น้ำมันทินเนอร์ ให้ละลาย เหนียวข้น แล้วนำไปอุดรอยรั่วปล่อยให้แห้ง ก็จะสามารถใช้ต่อไปได้อีกเป็นระยะเวลา ยาวนาน
54. วิธี การปรับ เสาทีวี ในบ้านด้วยตัวเองทำได้ง่ายๆ คือ หา กระดาษตะกั่ว หรือหา กระดาษฟอยล์ ที่ห่อปลาเผามาพันรอบๆ สายอากาศ ด้านหลังทีวีหลายๆ รอบ แล้วค่อยๆ รูดไปตามสาย เรื่อยๆ ให้มีคนคอยสังเกตภายในจอทีวีด้วย ถ้าภาพคมชัดก็ให้บีบ กระดาษตะกั่ว นั้นติดอยู่ กับสายตรงนั้นเลย ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
55. วิธีขจัด สนิม บน ราวตากผ้า คือ หาเศษผ้ามาชุบน้ำส้มสายชูถูให้ทั่วแล้วใช้น้ำสบู่ถูทับอีกที ต่อ จากนั้นเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ตามด้วยผ้าแห้งอีกรอบหนึ่ง สนิม บน ราวผ้า ก็จะหมดไป
56. การขจัด มีด ในครัวเรือนขึ้นสนิมคือ นำมีดนั้นมาถูกับมะนาวหรือหัวหอมก็ได้ แล้วล้างด้วยน้ำ สะอาดเช็ดให้แห้ง รับรองได้ว่ามีดทำครัวของคุณจะปราศจากสนิมมาขึ้นอีกเลย
57. การลับมีด ในครัวให้มีความ คม และอยู่ได้นานๆ ทำได้โดยหยอด น้ำมันก๊าด สัก 2-3 หยดลงบน หินลับมีด แล้วลับไปตามปกติ รับรองมีดของคุณจะคมกริบเชียวละ
58. วิธีขจัด กลิ่นเหม็น อาหารในตู้เย็นติดน้ำดื่มทำได้โดยนำ กากกาแฟ หรือ กากใบชา ที่ชงหมดแล้ว นำมาใส่ไว้ใน ตู้เย็น กาก กาแฟ หรือกาก ใบชา พวกนี้จะดูดกลิ่นอันไม่พึงปรารถนาให้หมดไปจาก ตู้เย็นของคุณ หรือจะใช้ถ่านไม้ ใส่ถ้วยแล้ววางไว้ในตู้เย็น เพราะถ่านไม้ จะช่วยดูดกลิ่นได้ดีพอๆ กับกากใบชา กาแฟ
59. ผง ชันยาเรือ มีประโยชน์ช่วย ป้องกันมด ได้อีกแบบหนึ่งคือ นำ ผงชัน ยาเรือ มาโรยไว้ในขา ตู้กับข้าว เพียงเท่านี้ มด ก็จะไม่มารบกวนขาตู้อีกเลย
60. วิธีทำความสะอาดเครื่องซักผ้า ให้สะอาดทำได้โดยใช้ แอมโมเนีย สัก2 แก้ว ผสม น้ำเย็น ธรรมดาครึ่งลิตรใส่ลงใน เครื่องซักผ้า แล้วเปิดเครื่องทำงาน น้ำส้มสายชูจะ ช่วยไล่ คราบฝุ่น ออกจากตัวเครื่องและป้องกันการอุดตันได้ด้วย
61. วิธี ทำความสะอาด กรอบกระจกเงา หรือ กรอบรูปภาพ ให้มองดูใหม่คือ ให้เอา น้ำมัน ชุบผ้าทาตรงส่วนที่เป็นกรอบ แล้วรอจนแห้งแล้วจะมองดูใหม่ขึ้น
62. วิธี ทำความสะอาดเครื่องแก้ว โดยไม่ต้องเช็ดคือ ใช้น้ำผสม แอลกอฮอล์ ล้าง น้ำผสมผสมแอลกอฮอล์จะช่วย ขจัดสิ่งสกปรกออก ได้ง่าย ข้อสำคัญจะแห้งได้เอง โดยไม่ต้องเช็ดด้วยผ้าอีกครั้ง
63. วิธีขจัดกลิ่นเหม็นอับ ในตู้กับข้าวให้หอมสดชื่นคือ ใช้ ปูนขาว เล็กน้อยใส่ชามใบ ย่อมไปวางมุมใดมุมหนึ่งของตู้กับข้าว ทิ้งไว้ประมาณ3-4วัน กลิ่นอับชื้น ก็จะ ค่อยจางหายไป
64. วิธี ทำความสะอาดคราบสกปรกที่ติด กระเบื้อง ปูห้องน้ำมีวิธีทำคือ ราดด้วยน้ำให้ทั่ว แล้วเอา เกลือแกง โรยลงบนแปรงขัดทั้งห้องน้ำหรืออาจจะโรย เกลือ ที่ผ้าเปียกน้ำ แล้วขัดพื้นให้ทั่ว เพียงเท่านี้ ห้องน้ำกระเบื้องของคุณก็จะสะอาดเป็นเงางาม เลยทีเดียว
65. วิธี การทำความสะอาดผ้าม่าน ที่เป็น ใยสังเคราะห์ ควรซักด้วยมือ ก่อนซักควรปัดฝุ่นให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นเทน้ำยาซักผ้าลงบริเวณที่เปื้อน แล้วจุ่มลงในน้ำยาซักผ้า ที่ผสมน้ำอุ่นแล้วอย่าบิด ควรคลี่ตากเพราะในเวลาแห้งจะได้ ผ้าม่าน ที่เรียบไม่ยับยู่ยี่
66. วิธี ทำความสะอาด งาช้าง ที่มีคราบฝุ่นติดอยู่เต็มไปหมดคือ นำมาถูด้วยมะนาวกับ เกลือ แล้วล้างออกด้วยน้ำสบู่แล้วเอางาช้างวางไว้กลางแดดทั้งๆ ที่ยังเปียกน้ำสบู่อยู่ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เมื่อแห้งแล้วขัดด้วย ผ้าสักหลาด ก็จะได้ งาช้าง สะอาดดังเดิม

เม็ดมะรุม

รายละเอียด:
มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณ :

ฝัก  -  ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม                                                                                                                                เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก
      - แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย

จาก ประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น
ผู้ เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ส่วน อื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ                         บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี                       ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม     บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน  ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหา โรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบ มะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ประโยชน์ของมะรุม
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุม
สรรพคุณ
..ใช้ หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น

ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจาก การกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม



ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม  (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน           26 แคลอรี
โปรตีน             6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน               0.1 กรัม
ใยอาหาร           4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต     3.7 กรัม
วิตามินเอ           6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี           220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน           110 ไมโครกรัม
แคลเซียม         440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส         110 มิลลิกรัม
เหล็ก               0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม       28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม       259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)

ทั้ง นี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอร อลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ
งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสีย หายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้

เม็ดมะรุม

รายละเอียด:
มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณ :

ฝัก  -  ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม                                                                                                                                เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก
      - แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย

จาก ประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น
ผู้ เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ส่วน อื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ                         บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี                       ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม     บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน  ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหา โรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบ มะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ประโยชน์ของมะรุม
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุม
สรรพคุณ
..ใช้ หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น

ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจาก การกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม


ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม  (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน           26 แคลอรี
โปรตีน             6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน               0.1 กรัม
ใยอาหาร           4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต     3.7 กรัม
วิตามินเอ           6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี           220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน           110 ไมโครกรัม
แคลเซียม         440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส         110 มิลลิกรัม
เหล็ก               0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม       28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม       259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)

ทั้ง นี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอร อลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ
งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสีย หายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้