GRAPHIC DESINGER

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การดู Spec Notebook สำหรับมือใหม่

สำหรับใครที่ต้องการโน๊ตบุ๊กสักเครื่อง การดูสเปกได้นั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก (ยกเว้นจะให้เพื่อนๆที่ดูเป็นคนช่วย) เพราะหมายถึงการที่ได้เครื่องตรงความต้องการใช้งานของเรามากที่สุด ต่องบประมาณที่จำกัด บางท่านอาจจะต้องการใช้แค่พิมพ์งานเล่นเน็ต แต่ดูสเปกไม่เข้าใจอาจจะไปซื้อเครื่องรุ่นใหม่ที่กินตัวไป เพราะเห็นแค่เพียงว่าราคาสูงน่าจะใช้งานเราได้แน่ๆ หรือบางท่านต้องการเครื่องที่มีพอร์ตต่างๆตามต้องการเช่น HDMI สำหรับต่อจอ LCD TV หรือ E-Sata สำหรับต่อฮาร์ดดิสค์ความเร็วสูง ถ้าเราดูสเปกผิดเพียงนิดเดียวก็อาจจะทำให้เราซื้อเครื่องมาผิดจุดประสงค์การ ใช้งานได้เพราะฉะนั้น การดูสเปกแบบคร่าวๆพอเข้าใจอาจจะไม่ต้องถึงขั้นรู้เทคโนโลยีอะไรมากมายเพียง แต่สามารถจับจุดได้ แค่นี้ก็สบายหายห่วงแล้ว

ออกตัวก่อนนะครับว่าใน บทความนี้จะแนะนำแค่คราวๆ ไม่ถึงกับลงลึกไปว่า งานนี้ควรจะใช้ซีพียูอะไร เพียงแต่แนะนำพอรู้ถึงกลุ่มต่างๆเท่านั้นนะครับ ไปดูทีละส่วนกันเลย

CPU

คือ หน่วยประมวลผลเปรียบเหมือนสมองกลของ คอมพิวเตอร์ บางท่านอาจจะคิดว่ามันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมรึเปล่า แต่ไม่ใช่อย่างนั้น CPU คือ Chip ขนาดประมาณ 1นิ้ว x 1 นิ้ว ใหญ่ว่า หรือ เล็กกว่า (แล้วแต่ Model) โดยในโน๊ตบุ๊กนั้นแม้จะไม่ค่อยนิยมเปลี่ยนซีพียูเองเท่าไรเพราะ หาซื้อยาก มีราคาสูง และอาจจะกระทบกับการรับประกันได้ แต่ก็มีหลายๆท่าน ลองเปลี่ยนดูมาแล้วนะครับ


ปัจจุบัน มีผู้ผลิต CPU Notebook รายใหญ่อยู่แค่ 2 บริษัท คือ AMD และ Intel ซึ่งส่วนมาก Intel จะครองตลาดซะมากกว่า โดยจะแบ่งได้หลายระดับที่นิยมและมีขายในตอนนี้ทั้ง

    * Intel Atom นิยมใช้ใน Netbook เพราะขนาดที่เล็กและราคาที่ไม่แพงรองรับการใช้งานเป็นอย่างดี ในการใช้งานเบาๆ
    * Pentium Dual Core ซีพียู 2 Core ระดับเริ่มต้น มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูงแต่ไม่สูงเท่า Core2Duo รองรับการทำงานที่หนักขึ้นมาจาก Netbook
    * Core 2 Duo ซีพียู 2 Core ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพที่อยู่ในระดับดี สามารถใช้งานหนักร่วมไปถึงเล่นเกมส์ได้ดีพอสมควร ตามระดับความเร็วของซีพียู โดยจะแบ่งเป็น 2 Series ทั้ง T Series ในแพลตฟอร์มเซนทริโน 1 และ P Series ในแพลตฟอร์มเซนทริโน 2
    * Core 2 Quad ซีพียูในระดับ 4 Core สามารถประมวลผลหนังๆเล่นเกมส์ได้สบาย แต่ด้วยราคาที่ยังสูงอยู่จึงนิยมใช้ในเครื่องที่มีราคาสูงๆทั้งนั้น

Chipset

คือ ส่วนที่ค่อยควบคุม อุปกรณ์แทบทั้งหมดของเครื่อง หรือเรียกได้ว่าเป็นตัวประสานงานต่างๆขอบอุปกรณ์บนเมนบอร์ดก็ว่าได้ ตั้งแต่ซีพียู แรม …. ไปจนถึงพอร์ตต่างๆ ล้วนแต่พึ่งพา ชิปเซ็ตทั้งนั้น มีผู้ผลิตชิปเซ็ตก็มีทั้ง Intel ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้ผลิตชิปเซ็ตรายใหญ่ที่สุด โดยจะผลิตชิปเซ็ตมารองรับซีพียูของตนเองเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว พอซีพียูรุ่นใหม่ออกก็จะผลิตชิปเซ็ตออกมารองรับทันทีทันใด แน่นอนว่าซีพียูเป็นของ Intel เกือบทั้งหมด ชิปเซตเอง Intel ก็กินส่วนแบ่งเกือบทั้งหมด แต่ก็มียี่ห้ออื่นๆที่หลุดๆมาบ้างทั้ง AMD ที่เหมือนๆกับ intel คือผลิตชิปเซ็ตให้ซีพียูตนเองเป็นหลัก นอกเหนือจากนั้นก็มีทั้ง NVIDIA, SIS, VIA


Graphic Chip

คือ หน่วยที่ประมวลผลด้านภาพออกมาแสดงทางจอ มีด้วยกัน 2 ประเภทคือ Onboard ที่จะรวมภาคประมวลผลภาพของการจอลงในชิปเซ็ตของเครื่องด้วย และแน่นอนว่ายังคงเป็นของ Intel เสียส่วนใหญ่ ความสามารถนั้นก็ถือว่าเป็นในระดับล่าง ใช้งานทั่วไป ดูหนัง เล่นเกมส์ที่ความละเอียดไม่สูงมากได้บ้าง

อีกชนิดหนึ่งคือแยกชิปเซ็ต แยกจากชิปเซ็ตหลัก มีทั้งแบบเป็นการ์ด และแบบที่เป็นชิปเซ็ตฝังบนเมนบอร์ดเลย โดยมีบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ 2 ราย คือ ATI และ NVIDIA ความสามารถต่างๆ นาๆ นั้นก็จะขึ้นอยู่กับราคา ยิ่งแพงการประมวลผลด้านภาพก็จะยิ่งดี ยิ่งเล่นเกมส์ ดูหนัง Hi-Def ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รุ่นยอดฮิตในไทยก็ได้แก่

NVIDIA


    * 9300M GS (ระดับล่าง พอเล่นเกมส์ได้นิดหน่อย)
    * 9600M GT (ระดับกลาง สามารถเล่นเกมส์ดูหนังได้ดีในระดับหนึ่งเลย)
    * ส่วนรุ่นใหญ่กว่านั้นก็มี แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไรเพราะมีราคาสูงมากเกินไป

ATI

    * Series 3xxx เป็นรุ่นที่ไม่เก่ามากยังมีขายอยู่ เรียงลำดับตามประสิทธิภาพตั้งแต่ล่างสุดไปบนสุดได้แก่ 3410 > 3450 > 3470 > 3650 > 3670
    * Series 4xxx เป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมา มีประสิทธิภาพที่ดีทีเดียวเลย และคาดว่าจะมีอีกหลายๆรุ่นตามมา ได้แก่ 4570 > 4650


Display

คือ ส่วนที่เป็นจอภาพ โดยจอภาพนั้น จะมีขนาดเล็กๆตั้งแต่ 7 นิ้ว ไปจนถึง ใหญ่ๆ 18 – 20 นิ้วกันเลยทีเดียว ตามความต้องการเช่นใครต้องการพกพาสะดวกก็ดูรุ่นที่จอเล็กๆหน่อย แต่ถ้าใครซื้อไปเป็นเครื่อง PC สำหรับดูหนังเล่นเกมส์แบบว่าไม่ค่อยได้ยกไปไหนมาไหน จะซื้อรุ่นที่จอใหญ่ๆก็ตามชอบเลยครับ และอีกสิ่งที่เป็นข้อสังเกตุคือ Resolution ยิ่งมีค่าสูงจอภาพก็จะมีความละเอียดมาก เช่น จอที่ไว้ดูหนัง Hi-Def โดยเฉพาะ จะอยู่ที่ 1920×1080 ซึ่งจะพบได้ใน Notebook ระดับ Hi-End ราคาสูง


Memory

เป็น หน่วยความจำชั่วคราวสำหรับเป็นที่พักข้อมูล ยิ่งมีความจุสูงก็จะยิ่งทำให้ Notebook สามารถทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น และความเร็วของแรมเช่น 667 800 MHz นั้นยิ่งมากก็จะยิ่งทำให้เครื่องทำงานได้ไวสอดคล้องกับซีพียูมากขึ้น ส่วนมากของโน๊ตบุ๊กในปัจจุบันใช้ RAM DDR2 ที่มีราคาถูก แต่ล่าสุดก็ได้มี RAM DDR3 แล้วซึ่งจะทำงานเร็วกว่าเดิมถึง 2 เท่า แต่ยังไม่นิยมเพราะยังมีราคาแพงกว่า DDR2 อีกทั้งชิบเซตที่รองรับก็ยังมาน้อย ตอนนี้ที่เห็นชัดเจนก็แค่ชิปเซ็ตของอินเทลเซนทริโน 2 เท่านั้น โดยการเลือกใช้นั้นด้วยราคาแรมในปัจจุบันที่ถูกลงมามาก แรมก็ไม่ควรต่ำกว่า 2 GB เป็นอย่างน้อย เพราะในระดับนี้จะทำอะไร เล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง ทำงาน ในเครื่องสามารถใช้งานได้สบายๆแล้ว


Hard Disk

เป็น หน่วยความจำหลักที่จะบรรจุซอฟแวร์ต่างๆไว้ใน นี้ ถ้า Hard Disk มีความจุมากก็จะทำให้มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลต่างๆเช่น หนัง เพลง มาก จนไม่ต้องกลัวว่าจะเต็มๆ ในเครื่องปัจจุบันที่ขายกันทั่วๆไปต่ำๆก็จะมีมาให้ 160 GB เพียงพอสำหรับเก็บข้อมูลได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ๆเป็นประจำ ก็ไม่ควรน้อยกว่า 250 GB อีกทั้งยังมาฮาร์ดดิสค์อีกประเภทที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นคือชนิด Sloid-State Drives (SSD) เป็นฮาร์ดดิสค์ที่ใช้ IC Chip มาบันทึกข้อมูลแทน แบบจานหมุนในฮาร์ดดิสค์ทั่วไป ซึ่งทั้งเร็วและมีความคงทนสูงกว่าฮาร์ดดิสค์แบบธรรมดาที่เราใช้กันอยู่ แต่ก็มีราคาสูงตามไปด้วย เริ่มนิยมใช้กันแพร่หลายมากขึ้นตั้งแต่ความจุน้อยๆเช่น 8 GB ใน Aspire ONE ไปจนถึงเครื่องระกับ Hi End เลยทีเดียว

Drive
มีหลายชนิดมากมายเลยครับ ที่นิยมนำมาลง Notebook มากที่สุดตอนนี้ก็คงเป็น

DVD Writer (Dual Layer Support) ที่สามารถ อ่าน-เขียนแผ่น DVD ก็จะมีตั้งแต่เขียนได้ 8X 16X 20X ครับ ส่วน Drive ที่มาแรงคงหนีไม่พ้น Blu-Ray ที่มีขนาดบรรจุถึง 27 G อัตราการโอนถ่ายข้อมูลเร็วถึง 36 Mbps แต่ติดที่ยังราคาแพงอยู่ แต่ในอนาคตไดร์ฟและแผ่นแบบ Blu-Ray จะเข้ามาเป็นมาตฐานใหม่แทน DVD ในไม่ช้านี้แน่นอน



USB

คง ไม่มีใครไม่รู้จัก USB น่ะครับ เป็น Port ที่ส่งถ่ายข้อมูลแบบอนุกรม ที่ได้รับความนิยมสูงสุดมีใช้ในอุปกรณ์ต่อเชื่อมแทบทุกชนิด ตั้งแต่แฟลตไดร์ฟ ยังจอภาพ LCD เลยทีเดียว ด้วยความสามารถเด็ดคือ Plug & Play คือสามารถใช้งานได้ทันทีไม่ต้องรีสตราทเครื่องหรือบางอยางเช่นแฟลชไดร์ฟไม่ ต้องลงไดร์วเวอร์ก็สามารถใช้งานๆได้ทันที ในปัจจุบันใช้ USB 2.0 เป็นหลัก ซึ่งจะมีความเร็วอยู่ที่ 480 MB/s และอีกไม่นาน USB 3.0 ก็จะเข้ามาแล้ว ซึ่งจะมีความเร็วมากว่า 2.0 ถึง 10 เท่า


Firewire

หรือ ที่นิยมเรียกกันว่า IEEE 1394 เป็น Port มีลักษณะดังในภาพ คล้ายรูปสี่เหลี่ยมคางหมู หรืออีกรูปแบบนึงซึ่งจะมีขนาดเล็กกว่า ใช้โอนถ่ายข้อมูลเป็นหลักคล้ายๆกับ USB โดยมีความเร็วอยู่ที่ 400 MB/s อาจจะดูด้อยกว่า USB 2.0 เล็กน้อยแต่ก็แลกมาด้วยความนิ่งของสัญญาณที่ไม่แกว่งเหมือน USB นิยมใช้ในกล้องวีดีโอความละเอียดสูง แต่อีกไม่นานเมื่อ USB เข่าสู่เวอร์ชั่น 3 เมื่อไรพอร์ตนี้คงจะเริ่มหายจากไปเหลือเพียงใช้งานในบางกลุ่มเท่านั้น ส่วนใหญ่ Port Firewire ส่วนใหญ่จะใช้กับกล้อง VDO CamCoders เป็นหลัก




DVI

เป็น Port ที่ส่งสัญญาณภาพเข้าสู้จอ LCD Notebook ที่มี Port นี้มีค่อนข้างน้อยมากครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน Notebook รุ่นที่มีราคาสูงๆ โดยจะเป็นส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งให้คุณภาพในการแสดงผลที่ดีกว่าแบบอนาล็อค แบบในพอร์ต D-SUB ที่นิยมใช้กันในโน๊ตบุ๊กทั่วๆไป


S-video

เป็น Port ที่ส่งสัญญาณภาพเข้าสู้จอ TV โน๊ตบุ๊กรุ่นเก่าๆหน่อยจะมีพอร์ตนี้กันเยอะ แต่ในรุ่นใหม่ๆก็แทบไม่มีแล้วเพราะมีพอร์ตอื่นๆเข้ามาแทนที่ เช่น HDMI


e-SATA

เป็น Port ที่เอาไว้ต่อกับ External Hard disk หรือ Hard disk ธรรมดาก็ได้ โดยพอร์ต e-SATA นั้นจะมีความเร็วมีหลักการทำงานเช่นเดียวกับพอร์ต SATA บนเมนบอร์ดเลย ด้วยความเร็วสูงถึง 3000 Mbit/s แต่ในพอร์ต e-SATA จะมีแปลงหัวต่อให้สามารถใช้งานเป็นพอร์ต USB ได้ด้วย



HDMI

หรือ ย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface ตามที่ชื่อบอกเลยครับว่ารองรับงานมัลติมีเดียเต็มที่ ด้วย Port ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเล่น HDMI ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวก LCD TV หรือ เครื่องเสียง โดยในสาย HDMI จะรวบร่วมสัญญาณดิจิตอลทั้งภาพและเสียงที่ส่งไปในสาย HDMI เส้นเดียว ทำให้มีความสะดวกเพราะไม่ต้องต่อสายหลายสายให้วุ้นวาย โดยในโน๊ตบุ๊กสมัยใหม่ที่รองรับก็จะติดตั้งพอร์ต HDMI มาให้ใช้งานได้เลย โดยสาย HDMI รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดประมาณภาพยนตร์ HD 1080p เลยทีเดียว

 

HDMI


Card Reader

คือ Port ที่เอาไว้ใส่ การ์ดอ่านการ์ดต่างๆ MMC , MSD , CF และอื่นๆ แล้วแต่ผู้ผลิตว่าจะติดตั้งเครื่องอ่านการ์ดชนิดใดมาบางส่งใหญ่ที่นิยมกันก็ เช่น SD MMC



Express Slot

คือ Port อีกชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากบนเมนบอร์ด ซึ่งเอาไว้ ต่อกับการ์ดต่างๆ เพื่อเพอ่มประสิทธิภาพเครื่องให้สูงขึ้นสามารถทำงานได้หลายอย่างมากขึ้นเช่น Air Card , Sound Card หรือแม้กระทั่ง เพิ่มพอร์ต USB LAN โดยจะแบ่งกันเป็น 3 แบบหลักตามขนาดโดยในแต่ละเครื่องจะแตกต่างกันไป แต่ที่นิยมในปัจจุบันมากที่สุดจะเป็น Express Card 54




ตัวอย่าง Express Slot ทั้ง 3 รูปแบบ


Finger Print

หรือ ที่สแกนลายนิ้วมือ ที่สามารถใช้ลายนิ้วมือของตัวเองตั้งเป็นรหัสเพื่อเข้าเปิดเครื่อง หรือเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เหมาะสมกับนักธุรกิจ ยัน นักศึกษาเลยด้วยซ้ำครับ



Finger Print

Wireless Lan

หรือ Wi Fi ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย ทำให้เราสามารถนำโน๊ตบุ๊กไปเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ได้ทุกที่ทุกเวลาในที่มีสัญญาณ Wi Fi โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสายแต่อย่างใด ทำให้เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันด้วยความสะดวกสะบายนี้ และด้วยระบบ IEEE 802.11 นั้นมี 2 มาตรฐาน หลักๆที่นิยมใช้ในโน๊ตบุ๊กคือ N รองรับการเชื่อต่อที่ความเร็ว 36-54 Mbps และ N รองรับการเชื่อมต่อที่ความเร็ว 74 Mbps และสูงสุดที่ 248 Mbps โดยในโน๊ตบุ๊กยังมีจำนวนน้อยที่รองรับมาตรฐานนี้ส่วนใหญ่จะเป็น รุ่นในแพลตฟอร์มเซนทริโน 2 เป็นหลักที่รองรับ



Bluetooth

คือ คอนเน็ตเตอร์ไร้สายอีกประเภทที่รู้จักเป็นอย่างดีเพราะในโทรศัพท์มือถือ นั้นได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้กันอย่างกว้างขวาง และในโน๊ตบุ๊กเองก็มีการนำมาใช้ทั้งเชื่อมต่อเผื่อโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง เครื่อง ไปจนถึงเชื่อต่อกับโทรศัพท์เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ด้วย แต่ข้อเสียก็คือ ส่งข้อมูลได้ช้าเพราะมีความเร็วแค่เพียง 100kb/sec และไม่สามารถเชื่อมต่อได้ไกลมากนัก ประมาณ 10 เมตร จึงทำให้ความนิยมลดน้อยลงไป





LAN

หรือ RJ-45 เป็นคอนเน็ตเตอร์ในการเชื่อมต่อสู่ระบบเครือข่ายซึ่งเป็นที่นิยมสูงมาก ตั้งแต่ตามบ้านเรือน จนถึงองค์กรณ์ใหญ่ๆด้วยความเร็วสูงที่การเชื่อมต่อรูปแบบอื่นๆไม่สามารถทัด เทียมได้ยาก ด้วยความเร็วตั้งแต่ 10,100 MB/s จนไปถึงระดับ 1 GB/s (1,000 MB/s) ในโน๊ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆก็อยู่ในระดับ 1 GB/s แทบทั้งนั้นเลย ด้วยความเร็วสูงขนาดนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและยังเป็นที่นิยมต่อไป อีกนาครับ



LAN


Modem

หรือ ที่เรียกว่า RJ-11 ตามชนิดของหัวต่อ เป็นคอนเน็ตเตอร์รุ่นแรกๆของโลกเลยก็ว่าได้ สำหรับเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในสมัยก่อน ที่ความเร็ว 56 K (ในสมัยนี้ก็ยังมีใช้กันอยู่แต่น้อยลงไปเยอะ) โดย Notebook รุ่นใหม่ๆ ไม่มีแล้ว เพราะมีระบบ Hi Speed อินเตอร์เน็ตเข้ามา ซึ่งนิยมใช้เป็นพอร์ต LAN หรือ Wi Fi มากกว่า เพราะเร็วกว่าเยอะ



Modem


Battery

เป็น สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งของ Notebook เพราะคุณจะใช้งานนอกสถานที่ได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ โดยปัจจุบัน Li-Ion ได้รับความนิยมมากสุด นอกจากจะชาร์จได้ตามต้องการแล้ว มันยังใช้งานได้นานพอสมควร ยิ่งจำนวน Cell มากเท่าไรยิ่งสามารถใช้งานได้มากขึ้น ท่านสามารถดูวิธีการบำรุงรักษา Battery ได้ ที่่นี่

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

สร้างฟอนต์ด้วย Corel Draw

เนื่องด้วยเจ๊จอย(หรือเจ๊มดแดงของเรา)สงสัยเรื่องการนำไฟล์ที่ออกแบบโดย corel draw ไปยัง Font Lab เพื่อทำเป็นฟอนต์
อันข้าพเจ้านั้นพอมีความรู้ทางโปรแกรม corel draw อยู่บ้างพอหางอึ่ง แต่ก็พอจะแนะนำได้บ้าง 
จึงได้จัดทำ ฮาวทูนี้ขึ้นมาเพื่อการอันเป็นวิทยาทานและเป็นประหนึ่งคู่มือเล็กๆของฟอรั่มนี้
และจุดประสงค์แฝงก็หวังจะให้น้องๆพี่ๆลุงๆหลานๆป้าๆทั้งหลายทั้งมวล ได้หันมาทำฟอนต์กันให้มากขึ้น

ร่ายยาวไปหน่อยแล้ว  มาเริ่มกันเลยครับ
โปรแกรมที่ใช้ในการออกแบบนั้น ผมถนัด Corel Draw มากกว่า Illustator หรือโปรแกรมใดๆ  ด้วยโดนบังคับโดยงานที่ทำ
และโปรแกรม Illus นั้น ป๋าเลย์ก็ได้แนะนำและฮาวทูกันไปแล้ว

เริ่มจากขั้นตอนแรก  ออกแบบอักษรใน Corel draw ให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องใส่เส้นเอาท์ไลน์นะครับ



เลือกมาซักตัวแล้ว copy



สร้างไฟล์ใหม่ขึ้นมาแล้ว Paste ลงไป



จากนั้นเลือกคำสั่ง Export



เลือก Export แบบ EPS



ตั้งค่าต่างๆตามรูปเลยครับ



เรียบร้อยแล้วคราวนี้ไปที่ Font Lab เลยครับ เปิดไฟล์แล้วเลือกตัวที่ต้องการจะทำ (ผมใช้เทมเพรตท่านนายพล..ง่ายดีครับ..เจ๋งด้วย)
ใช้คำสั่ง Import>EPS  แล้วเลือกไฟล์ที่เราทำไว้ครับ



ไม่ต้องตกใจ ถ้ามันจะเล็กจิ๋ว  ใช้คำสั่งนี่เลยครับ Free Transform แล้วขยายมันเลยครับ กด Ship ด้วยเพื่อคงสเกลไว้



ปรับให้พอดีกับที่เราต้องการ  เส้นไกด์จะช่วยได้มากครับ แล้วลบตัวเก่าทิ้งไปเอาของเราเข้าไปแทน



เส้นที่ได้จะค่อนข้างเนียนเรียบขาวกระจ่างใสอมชมพู...และสามารถปรับแต่งได้ตามสบายครับ



นำไปต่อยอดตามขั้นตอนการสร้างฟอนต์ได้เลยนะครับ  ขอจบฮาวทู ณ บัดนาว

บทที่7 ทำงานจริง

หลังจากผ่านบทต่างๆ มาแล้ว เรามาเริ่มทำงานจริงกันดีกว่าครับ
ตัวอย่างที่จะนำมาใช้คราวนี้ ผมขอวาดเป็นการ์ตูนนะครับ
ง่ายๆ และก็ใช้เทคนิคที่แนะนำมาทั้งหมดนั่นแหละครับ

มาทำตามทีละขั่นตอนเลยครับ
1 ให้เราใช้เครื่องมือ bezier สร้างรูปทรงเริ่มแรกก่อนครับ จะได้รูปออกมาประมาณนี้
   (แล้วแต่เทคนิคแต่ละคนเลยนะครับ นี่เป็นเทคนิคผมครับ)
   โดยด้านหัวใช้เครื่องมือ ellipse(วงกลม)
 
2 ได้รูปทรงพื้นฐานแล้ว ผมจะทำการรวมร่างโดยคำสั่ง รวม(weld) จะอยู่ที่แท็บสถานะ
    (รวมก่อนรวมหลังได้ทั้งนั้นครับ ไม่รวมก็ได้) object ทั้งหมดก็จะทำการ
   รวมตัวเป็นชิ้นเดียวกัน ทีนี้เราก็ใส่สีที่เราต้องการเลย โดยคลิ๊กที่ object ที่เราต้องการ
   แล้วเลือกสีที่แท็บสีด้านขวา จากนั้น ตัดเส้นทิ้ง โดยการเลือก object เดิมแล้วไปที่
   แท็บสี เลือกสีบนสุด ที่เป็นเครื่องหมาย x คลิ๊กขวาเลย เส้นจะหายไป(ในที่นี้ก็คือการกำ
   หนดให้เส้นไม่มีสี)
   
 
3 ทีนี้เราก็ได้รูปทรงที่ลงสีไว้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เรามาลงเส้นกันได้ละครับ โดยใช้
   เครื่องมือ bezier เหมือนเดิม แต่ทีนี้ เส้นที่เราทำ เราจะเข้าไปเปลี่ยนเป็นเส้นพู่กัน
   โดยคลิ๊กที่เส้นที่ต้องการเปลี่ยน แล้วคลิ๊กที่เครื่องมือ arttistic media tool
   จะมีรูปแบบหัวพู่กันให้เราเลือก ก็เลือกตามใจชอบเลยครับ จะได้ภาพประมาณนี้
  
   ที่เหลือก็เก็บรายละเอียดให้ครบตามใจ ก็จะได้รูปตามต้องการแล้วครับ ง่ายเหลือเชื่อ
   ออ อย่าลืมเทคนิค order นะครับ เลื่อนขึ้นเลื่อนลง เช่น เราวาดหางขึ้นมาทีหลัง
   object หาง ก็จะไปอยู่ทับรูปตัวนะครับ เราก็ใช้คำสั่ง order>to back of page
   หางก็จะเลื่อนไปอยู่หลัง object ตัว ครับ
   ถ้าส่วนไหนเรายังไม่พอใจในรูปทรง เราก็ไปแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือ shap tool  
   ดัดเอาครับ ดัดจนกว่าจะพอใจครับ
 
ทั้งหมดนี่ ก็เป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมใช้กับงานผมอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรยากอย่างที่คิดครับ
ลองทำตามดู รับรองทำได้แน่นอนครับ

บทที่7 ทำงานจริง

หลังจากผ่านบทต่างๆ มาแล้ว เรามาเริ่มทำงานจริงกันดีกว่าครับ
ตัวอย่างที่จะนำมาใช้คราวนี้ ผมขอวาดเป็นการ์ตูนนะครับ
ง่ายๆ และก็ใช้เทคนิคที่แนะนำมาทั้งหมดนั่นแหละครับ

มาทำตามทีละขั่นตอนเลยครับ
1 ให้เราใช้เครื่องมือ bezier สร้างรูปทรงเริ่มแรกก่อนครับ จะได้รูปออกมาประมาณนี้
   (แล้วแต่เทคนิคแต่ละคนเลยนะครับ นี่เป็นเทคนิคผมครับ)
   โดยด้านหัวใช้เครื่องมือ ellipse(วงกลม)
 
2 ได้รูปทรงพื้นฐานแล้ว ผมจะทำการรวมร่างโดยคำสั่ง รวม(weld) จะอยู่ที่แท็บสถานะ
    (รวมก่อนรวมหลังได้ทั้งนั้นครับ ไม่รวมก็ได้) object ทั้งหมดก็จะทำการ
   รวมตัวเป็นชิ้นเดียวกัน ทีนี้เราก็ใส่สีที่เราต้องการเลย โดยคลิ๊กที่ object ที่เราต้องการ
   แล้วเลือกสีที่แท็บสีด้านขวา จากนั้น ตัดเส้นทิ้ง โดยการเลือก object เดิมแล้วไปที่
   แท็บสี เลือกสีบนสุด ที่เป็นเครื่องหมาย x คลิ๊กขวาเลย เส้นจะหายไป(ในที่นี้ก็คือการกำ
   หนดให้เส้นไม่มีสี)
   
 
3 ทีนี้เราก็ได้รูปทรงที่ลงสีไว้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เรามาลงเส้นกันได้ละครับ โดยใช้
   เครื่องมือ bezier เหมือนเดิม แต่ทีนี้ เส้นที่เราทำ เราจะเข้าไปเปลี่ยนเป็นเส้นพู่กัน
   โดยคลิ๊กที่เส้นที่ต้องการเปลี่ยน แล้วคลิ๊กที่เครื่องมือ arttistic media tool
   จะมีรูปแบบหัวพู่กันให้เราเลือก ก็เลือกตามใจชอบเลยครับ จะได้ภาพประมาณนี้
  
   ที่เหลือก็เก็บรายละเอียดให้ครบตามใจ ก็จะได้รูปตามต้องการแล้วครับ ง่ายเหลือเชื่อ
   ออ อย่าลืมเทคนิค order นะครับ เลื่อนขึ้นเลื่อนลง เช่น เราวาดหางขึ้นมาทีหลัง
   object หาง ก็จะไปอยู่ทับรูปตัวนะครับ เราก็ใช้คำสั่ง order>to back of page
   หางก็จะเลื่อนไปอยู่หลัง object ตัว ครับ
   ถ้าส่วนไหนเรายังไม่พอใจในรูปทรง เราก็ไปแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือ shap tool  
   ดัดเอาครับ ดัดจนกว่าจะพอใจครับ
 
ทั้งหมดนี่ ก็เป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมใช้กับงานผมอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรยากอย่างที่คิดครับ
ลองทำตามดู รับรองทำได้แน่นอนครับ